Tuesday, February 28, 2006

อังกฤษยืนยันก๊าซพิษ รั่วเข้า"เคบิน"เครื่องบิน


ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า "เครื่องบิน" เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยให้สังคมมนุษย์มีความเจริญรุดหน้า

แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อเสียเกิดขึ้นจากการใช้งานเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของน้ำยาเคมีและไอเสีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

จึงเป็นหน้าที่ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องใน "อุตสาหกรรมการบิน" ต้องพยายามแก้ไขข้อเสียเหล่านี้ออกไปให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

ล่าสุด หนังสือพิมพ์ดิออพเซิร์ฟเวอร์ ประเทศอังกฤษ เปิดประเด็นใหม่ถึงภัยที่ควรระวังจากการอยู่ใน "เคบิน" หรือส่วนโดยสารของเครื่องบิน โดยระบุว่า

จากการตรวจสอบข้อมูลจากนักบินและรายงานการบินของสำนักงานการบินพลเรือนอังกฤษ (ซีเอเอ) ตลอด 3 พบว่า

ภายในเคบินมี "ก๊าซพิษ" ปนเปื้อนผ่านท่ออากาศเข้ามาในปริมาณที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของทั้งนักบิน ลูกเรือ และผู้โดยสาร

ก๊าซพิษส่วนใหญ่มีส่วนผสมของสาร "อาร์กาโนฟอสเฟต" ซึ่งออกฤทธิ์คล้ายกับยาฆ่าแมลง เกิดขึ้นจากกระบวนการเผาไหม้น้ำมันของเครื่องยนต์ และรั่วเข้ามาในระบบจ่ายอากาศ

เมื่อนักบินสูดดมเข้าไปมากๆ จะทำให้เกิดอาการหลงทิศ มึนงง ตามองเห็นเป็นจุดๆ เสียสมาธิ ส่งผลให้ความสามารถในการควบคุมเครื่องบิดลงลด เช่น การนำเครื่องบินขึ้นหรือลงจอด

นักบินบางคนยอมรับว่า บางครั้งทนกลิ่นเหม็นของก๊าซไม่ไหวถึงกับต้องดึง "หน้ากากออกซิเจนฉุกเฉิน" มาสูดดม

ในส่วนของลูกเรือนั้น กลุ่มที่เคยได้รับผลกระทบจากก๊าซพิษในเคบินรุนแรงที่สุด คือ ลูกเรือสายการบินบริติชแอร์เวย์ เที่ยวบินเอดินบะระ-ฮีทโธรว เมื่อ 4 กันยายน 2548 ซึ่งเกิดอาการแสบร้อนในปากและโพรงจมูกจนเป็นแผล

สำหรับรุ่นของเครื่องบินที่ตรวจพบก๊าซพิษในเคบินมากที่สุดก็คือ "BAE 146" กับ "Boeing 757" ซึ่งรุ่นหลังนี้มีสายการบินในไทยใช้อยู่ด้วย อย่างไรผู้บริหารน่าจะตรวจสอบดูหน่อยว่ามีก๊าซรั่วเข้ามาได้จริงหรือไม่ เพื่อความปลอดภัยของพนักงานและผู้โดยสารครับ

ยานอวกาศนาซ่า ถึงดาวอังคารมี.ค.นี้


สำนักงานอวกาศสหรัฐอเมริกา (นาซ่า) แถลงว่า ยานอวกาศ "เอ็มอาร์โอ" จะจุดระเบิดเครื่องยนต์ขับดันเพื่อบินเข้าสู่วงโคจรดาวอังคารในเดือนมีนาคมนี้

ดั๊ก แม็กควิสชั่น ผู้อำนวยการโครงการสำรวจดาวอังคารของนาซ่า แถลงว่า ยานอวกาศ "มาร์ส รีคอนนิเซินซ์ ออร์บิเตอร์" หรือ "เอ็มอาร์โอ" จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจดาวอังคารมากขึ้น และเก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับปฏิบัติการส่งหุ่นยนต์ลงจอดดาวดวงนี้ครั้งใหม่ภายใน 4 ปีข้างหน้า

นาซ่าระบุว่า ยานเอ็มอาร์โอจะโคจรเข้าไปในระดับที่ใกล้กับดาวอังคารให้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ศูนย์บังคับการภาคพื้นดินคงต้องใช้เวลาปรับวงโคจรของยานราวครึ่งปีกว่าจะเข้าที่

เมื่อขั้นตอนดังกล่าวผ่านพ้นไปแล้ว เอ็มอาร์โอจะโคจรปฏิบัติภารกิจหลักไปอีกประมาณ 5 ปี อาทิ สำรวจสัญญาณแหล่งน้ำใต้พื้นดินเพื่อดูว่าในอดีตเคยมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวอังคารหรือไม่

นอกจากนั้น ยังจะเก็บข้อมูลเพื่อกำหนดจุดตั้งฐานวิจัยบนดาวอังคารในอนาคต และจุดลงจอดของหุ่นยนต์สำรวจรุ่นต่อไป

"ไว-ไฟ"เน็ตไร้สาย ล่อแฮกเกอร์-ก่อมะเร็ง?


กระแสการขยายตัวของระบบเครือข่ายสื่อสารไร้สาย "ไว-ไฟ" (Wi-Fi) ยังมีแนวโน้มเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ

เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่อำนวยความสะดวกในการใช้งานไว-ไฟ เช่น "ฮ็อตสป็อต" (จุดเชื่อมต่อสัญญาณ) ก็ปรากฏเป็นข่าวเป็นระยะๆ

ล่าสุด มหาวิทยาลัยในสกอตแลนด์ กำลังพัฒนาจุดฮ็อตสป็อตนอกสถานที่ที่ใช้ "แสงอาทิตย์" เป็นแหล่งกำเนิดพลังงาน

ขณะที่กลุ่มผู้พัฒนามาตรฐานไว-ไฟ ก็กำลังหาทางเพิ่มประสิทธิภาพของระบบให้เล่นวิดีโอดิจิตอลได้ชัดกว่าเดิม และรับสัญญาณได้ไกลกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม มีคนบางกลุ่มมองว่าไว-ไฟ ยังไม่ปลอดภัยพอ ทั้งทางด้านเทคนิคและด้านผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์

ในมุมของช่างเทคนิคนั้นเห็นว่า การวางระบบสื่อสารไร้สาย รวมถึงไว-ไฟ ขององค์กรและผู้ให้บริการต่างๆ ยังขาดความรู้ความเข้าใจดีพอ ซึ่งส่งผลให้ "แฮกเกอร์" ฉวยโอกาสเล่นงานผู้บริโภคและเจาะระบบโจมตีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขององค์กรได้

ยกตัวอย่างเช่น การเปิดบริการไว-ไฟ ผ่านจุดฮ็อตสป็อตตามสถานที่สาธารณะ สามารถเปิดช่องให้แฮกเกอร์ใช้โปรแกรม "ไว-ไฟ ฟิชชิ่ง" สร้าง "เว็บเพจปลอม" ขึ้นมาหลอกให้ผู้ใช้กรอกยูสเซอร์เนมและพาสเวิร์ดชั่วโมงอินเตอร์เน็ตลงไปให้แฮกเกอร์ใช้ฟรีๆ

ในส่วนของความวิตกเรื่องสุขภาพ "เฟร็ด กิลเบิร์ต" ประธานมหาวิทยาลัยเลคเฮด แคนาดา กล่าวว่า ตราบใดที่ตนยังเป็นผู้บริหารอยู่จะไม่ยอมให้มีการเปิดใช้ไว-ไฟในมหาวิทยาลัยเด็ดขาด

เพราะขณะนี้มีผลการวิจัยที่พบว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ใช้รับส่งสัญญาณไว-ไฟ อาจเป็นปัจจัยทำให้สัตว์ทดลองป่วยเป็นมะเร็ง

เทคโนโลยีใหม่ๆ ย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย การเปิดเผยข้อมูลให้ผู้บริโภครับรู้โดยละเอียดถือเป็นวิธีโฆษณาเทคโนโลยีเหล่านั้นที่ดีที่สุด

Sunday, February 26, 2006

ปรับเปลี่ยน"ตัวถัง" กลยุทธ์เพิ่มมูลค่าโน้ตบุ๊ก


ว่ากันเนื้อๆ ด้วยความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบัน

"ของใหม่" วันนี้ สามารถแปลงสภาพเป็น "ของเก่า" ตกรุ่นอย่างง่ายดายเพียงช่วงระยะเวลาไม่กี่เดือน

หนึ่งในเทคนิค-กลยุทธ์การขายที่บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กนำมาใช้เพื่อเพิ่มมูลค่า และสร้างความแตกต่าง ทำให้สินค้าของตนเองโดดเด่นกว่าคู่แข่งในตลาดก็คือ

การพัฒนารูปลักษณ์และปรับปรุงวัสดุภายนอกที่ห่อหุ้มตัวเครื่อง (Laptops Enclosure)

ซึ่งขอเรียกง่ายๆ แบบให้เห็นภาพว่า "ตัวถังโน้ตบุ๊ก" ก็แล้วกันนะครับ

ตัวถังโน้ตบุ๊กทั้งที่วางตลาดแล้วและกำลังเตรียมวางตลาด เช่น

ตัวถังทำจากพลาสติก โครเมียม ไม้ เหล็ก หนัง อะลูมิเนียม และไฟเบอร์

อย่างตัวถังโน้ตบุ๊กที่ทำจาก "หนัง" นั้น ล่าสุดบริษัทอินโครเซีย รับหน้าที่ผลิตให้กับบริษัทเอชพี โดยรับประกันสรรพคุณว่า

ลูกค้าสามารถปล่อยทิ้งโน้ตบุ๊กรุ่นนี้ตกลงมาสูงจากพื้น 4 ฟุต โดยที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้านในตัวเครื่องไม่ได้รับความเสียหาย

ส่วนอีกกระแสที่มาแรงในตลาดโน้ตบุ๊กระดับไฮเอนด์ คือ

การนำเอาภาพลักษณ์ของรถ "ซุปเปอร์คาร์" มาเชื่อมโยงกับการออกแบบโน้ตบุ๊ก เช่น โน้ตบุ๊กของ "ACER" ที่พะยี่ห้อ "เฟอร์รารี่" ตัวเครื่องสีแดงเพลิงจัดจ้าน

ขณะเดียวกัน ค่าย "ASUS" ก็กำลังปรับโฉมตัวถึงโน้ตบุ๊กครั้งใหญ่ด้วยการนำวัสดุใยไฟเบอร์ที่ใช้สำหรับสร้างรถแข่งสูตร 1 ของค่าย "ลัมโบกินี" มาใช้ผลิตตัวถังโน้ตบุ๊กรุ่น "W1Jc" ช่วยให้มีน้ำหนักเบา...

แต่แน่นอนว่า "ราคา" ไม่ได้เบาตามน้ำหนักไปด้วย เพราะโน้ตบุ๊กที่ผลิตจากวัสดุเหล่านี้ราคาเกินหลักแสนบาทขึ้นไปทั้งนั้น

Tuesday, February 21, 2006

WWW.PLAWAN.COM ช่วยสกัดภัยเว็บลามก

ปัญหาสื่อลามก เว็บอานาจรต่างๆ เริ่มคุกคามเด็กและเยาวชนไทยมากขึ้น ทางสำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสำนักเอแบคโพลล์ร่วมกันศึกษาพฤติกรรมการใช้อินเตอร์เน็ตของเด็ก อายุ 18-22 ปี ซึ่งพบข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่าง

ผลสำรวจพบว่าเด็กที่ใช้อินเตอร์เน็ตจะมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมมาก ได้แก่

1.เวลาของการใช้อินเตอร์เน็ตจะใช้ตั้งแต่ 1-5 ชั่วโมง ทั้งที่ทางการแพทย์แนะนำไว้ว่าเด็กและเยาวชนควรใช้เวลาดูโทรทัศน์และเล่นอินเตอร์เน็ตไม่ควรเกิน 2 ชั่วโมง ซึ่งโดยภาพรวมกว่า 80% เด็กใช้เวลาเล่นอินเตอร์เน็ตมากเกินไป

2.ช่วงเวลา เด็กยังนิยมเล่นอินเตอร์เน็ตในช่วงเที่ยงคืน ซึ่งเป็นเวลาพักผ่อน ถือว่าไม่เหมาะสม

3.เนื้อหาในเว็บที่เข้าไปดูนั้น เด็กกว่า 60% เข้าไปดูเว็บลามก รูปโป๊

4.เด็กจะคุยกับคนแปลกหน้าผ่านทางอินเตอร์เน็ต โดยมากกว่า 80% จะมีการนัดพบกัน 10% นัดเจอกันข้างนอกและมีเพศสัมพันธ์กัน

5.เด็กจะก้าวไปสู่ปัญหาที่รุนแรง เข้าไปดูเว็บที่ก่อให้เกิดความรุนแรง เช่น การทำระเบิด การฆ่าตัวตาย ฆาตกรรม

ส่วนผู้ปกครองพบว่า มีเพียงร้อยละ 20 ที่รู้ว่าเด็กเข้าอินเตอร์เน็ตเพื่ออะไร ดูเนื้อหาอะไรบ้าง ส่วนร้อยละ 40 รู้ว่าใช้อินเตอร์เน็ตแต่ไม่รู้เนื้อหา และที่เหลือคือไม่รู้อะไรเลย ซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างมากหากผู้ปกครองขาดการดูแลเอาใจใส่

เด็กติดอินเตอร์เน็ตมากๆ ติดเกมหรือชอบดูเว็บที่ไม่เหมาะสม ไม่สร้างสรรค์ ส่วนใหญ่เป็นเด็กที่มีปัญหาครอบครัว พ่อแม่ไม่มีเวลา จะติดอินเตอร์เน็ตมากกว่าเด็กที่มีวุฒิภาวะ เพราะเด็กเหล่านั้นมีภูมิต้านทานต่ำ

จากการลองสุ่มเปิดเว็บเกี่ยวกับทางเพศและเซ็กซ์พบว่ามีไม่น้อยกว่า 22 ล้านเว็บ ถือเป็นอันตรายต่อเด็กและเยาวชนมาก ดังนั้น ผู้ปกครองควรดูเด็กมากขึ้นว่าเด็กใช้อินเตอร์เน็ตทำอะไรบ้าง

สำหรับเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ผู้ปกครองสามารถช่วยดูแลได้โดยการดาวน์โหลดเว็บ WWW.PLAWAN.COM ซึ่งเว็บดังกล่าวทาง สสส.ร่วมกับสมาคมผู้ดูแลเว็บแห่งประเทศไทย จัดทำขึ้นเพื่อป้องกันเว็บที่ไม่เหมาะสม ซึ่งสามารถดาวน์โหลดฟรี

แม้เว็บ WWW.PLAWAN.COM จะป้องกันได้ในระดับหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญคือผู้ปกครองจะต้องเอาใจใส่ หากพบว่าเด็กเปิดเว็บโป๊ผู้ปกครองต้องตั้งสติ อย่าดุด่าเขา ควรเข้าใจธรรมชาติของพวกเขา ทำตัวเป็นเพื่อน พูดคุยทำความเข้าใจ อธิบายให้ฟังถึงข้อดีข้อเสีย เพื่อดึงเขาออกมา เพราะถ้ายิ่งไปปิดกั้นเด็กก็จะยิ่งต่อต้านมากขึ้น

โดย ท.พ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ รองผู้จัดการ สสส

คุณหมอหุ่นยนต์" ตรวจคนไข้ตลอด24ช.ม.


ขณะนี้วิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจ กับ โรงพยายาลเซนต์แมรี่ ในประเทศอังกฤษ กำลังร่วมมือกันพัฒนาระบบ "การแพทย์ทางไกล" (Telemedicine) ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตจะได้รับความนิยมมากขึ้นในอนาคต

"การแพทย์ทางไกล" เป็นการผสมผสานนำเอาความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี "สื่อสารโทรคมนาคม" อันได้แก่การรับส่งข้อมูลผ่านดาวเทียม ระบบประชุมทางไกล หรือระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มาใช้ในการให้บริการทางการแพทย์

ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาก็คือหุ่นยนต์ รุ่น "ซิสเตอร์ แมรี่" ตัวที่เห็นในภาพ ซึ่งช่วยให้แพทย์ตรวจอาการคนไข้หลังการผ่าตัดได้ใกล้ชิดขึ้น แม้ว่าหมอกับคนไข้จะอยู่คนละสถานที่

ระบบการทำงานของหุ่นซิสเตอร์ แมรี่ แยกเป็น 2 ส่วนหลักๆ

ส่วนแรก คือ อุปกรณ์ที่หมอต้องใช้ ประกอบด้วย คอมพิวเตอร์ กล้องเว็บแคม และคันบังคับควบคุมหุ่นยนต์

ส่วนที่สอง คือ ตัวหุ่นซิสเตอร์ แมรี่ ซึ่งได้รับการติดตั้งคอมพิวเตอร์ กล้องถ่ายภาพ จอภาพ และระบบควบคุมการทำงานแบบไร้สายผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์

ด้วยระบบดังกล่าวช่วยให้คุณหมอที่อยู่ที่บ้าน สามารถสั่งงานควบคุมให้หุ่นยนต์ที่อยู่ในโรงพยาบาลเซนต์แมรี่ เดินมายังเตียงคนไข้ เพื่อตรวจดูสภาพแผลหลังผ่าตัด รวมทั้งพูดคุยซักถามอาการกับคนไข้ผ่านหุ่นยนต์

โดยภาพใบหน้าของคุณหมอจะปรากฏขึ้นมาตรงจอภาพบริเวณส่วนท้องของตัวหุ่นยนต์ เพื่อให้คนไข้รู้สึกสบายใจ

"ปาร์ฟ แซนต์" ศัลยแพทย์ผู้ร่วมทดลองโครงการหุ่นยนต์ซิสเตอร์ แมรี่ กล่าวว่า ในขั้นแรกจะทดลองเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ ก่อนเพื่อดูว่าคนไข้มีปฏิกิริยาอย่างไรต่อการที่ต้องพูดคุยกับหมอผ่านหุ่นยนต์

ในระยะยาวคุณหมอปาร์ฟเชื่อว่า เทคโนโลยีชนิดนี้น่าจะส่งผลดี

เพราะช่วยให้แพทย์เจ้าของไข้ติดตามอาการคนไข้ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

Sunday, February 19, 2006

รับมือภัย"ชุมชนออนไลน์"สนามล่าเหยื่อโลกอินเตอร์เน็ต!


"ชุมชนออนไลน์" ประเภทเว็บล็อก ไดอารี่ออนไลน์ เว็บไซต์หาคู่ กำลังกลายเป็น "ห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์" ที่เปิดกว้างให้กลุ่มอาชญากรล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กและเยาวชน เข้ามาใช้เป็นสื่อกลางในการ "ล่าเหยื่อ" อย่างง่ายดาย โดยอาศัยความอยากรู้อยากเห็น ความเหงา เงิน และแรงกระตุ้นทางเพศเป็นอาวุธในการล่อลวงเด็กไปติดกับ พ่อแม่ยุคดิติจอลจำเป็นต้องคอยสังเกตพฤติกรรมของลูก รวมทั้งเท่าทันเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกตกไปอยู่ในวงจรอุบาทว์ของกลุ่มนักล่าออนไลน์!

ในอดีต กลุ่มนักล่าออนไลน์ทั่วโลกนิยมใช้ห้องสนทนาทางอินเตอร์เน็ต หรือ "แชทรูม" โปรแกรมแชทเช่นเพิร์ช เป็นเครื่องมือในการค้นหาเด็กสาว วัยรุ่น และเยาวชน มาเป็นเหยื่อตอบสนองความวิปริตทางเพศ

กระบวนการดังกล่าวอาจกินเวลายาวนาน ต้องนัดพูดคุยหลายครั้งด้วยกัน กว่าจะสามารถหลอกล่อให้เหยื่อยอมเปิดเผยสถานะ ส่งรูปภาพมาให้ดูผ่านอีเมล์ นัดคุยโทรศัพท์ จนยอมพบหน้ากันตัวต่อตัว

แต่ในปัจจุบัน วิธีการออกล่าเหยื่อของอาชญากรดิจิตอลกลุ่มนี้ปรับเปลี่ยนรูปแบบไปมากตามพัฒนาการด้านเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต

การขยายตัวอย่างใหญ่โตของเครือข่าย "ชุมชนออนไลน์" ซึ่งประกอบด้วยเว็บไซต์ประเภทเว็บล็อก (บล็อก), ไดอารี่ออนไลน์แจกฟรี, เว็บหาเพื่อน-หาคู่-รวมรุ่นโรงเรียน และเว็บแลกเปลี่ยนภาพถ่าย ได้กลายเป็น "อาวุธชั้นดี" เปิดทางให้กลุ่มผู้กระทำความผิดเข้าไปสืบค้น-เลือก-ล่อลวงเหยื่ออย่างง่ายดาย

เนื่องจากสมาชิกรุ่นเยาว์ภายในชุมชนออนไลน์ เช่น เว็บ myspace.com, xanga.com จะโพสต์ทั้งข้อมูลส่วนตัว ที่พัก สถานศึกษา ภาพถ่าย รสนิยม ฯลฯ ของตนเองลงไปโจ่งแจ้ง พร้อมวิธีการติดต่อผ่านอี-เมล์ และโปรแกรมแชทสารพัดรูปแบบ

ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองไม่ดูแลบุตรหลานให้ดี ก็อาจต้องเสียใจในภายหลัง

สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐอเมริกา หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ "เอฟบีไอ" สืบสวนที่ไปที่มาคดีการใช้อินเตอร์เน็ตเป็นสื่อกลางในการก่ออาชญากรรมทางเพศ และพบว่า

ลักษณะของอาชญากรทางเพศออนไลน์มี 2 แบบหลักๆ

กลุ่มแรกจะล่อลวงแบบไม่โฉ่งฉ่าง ค่อยๆ ติดต่อสื่อสารกับเหยื่อในฐานะ "เพื่อน" ผู้แสนสุภาพที่พร้อมรับฟังปัญหาชีวิตทุกเรื่อง

บางครั้งอาจส่งของขวัญหรือเงินทองให้เหยื่อตายใจ ถ้าเด็กวัยรุ่นสนใจเรื่องไหน คนกลุ่มนี้จะพูดคุยด้วยได้หมดไม่ตกยุค จากนั้นจึงค่อยๆ เริ่มป้อนคำพูดสองแง่สองง่าม ลามกอนาจารทีเล่นทีจริง เพื่อให้เหยื่อยอมเปิดตัวเอง

กลุ่มที่สองจะแสดงตัวชัดว่าเป็นพวกชอบพูดคุยเรื่องเพศ ซึ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเด็กๆ

เอฟบีไอระบุว่า "สัญญาณเตือนภัย" ที่ชี้ให้พ่อแม่เห็นว่าบุตรหลานอาจตกเป็นเหยื่อของนักล่าออนไลน์ หรือ เสพติดสื่อลามกออนไลน์อย่างรุนแรง มีหลายข้อด้วยกัน

1. ลูกใช้เวลาเล่นอินเตอร์เน็ตมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเย็นไปจนถึงดึก

2. พบว่าลูกดาวน์โหลดเก็บภาพลามกไว้ในคอมพิวเตอร์
ซึ่งตามปกตินั้นกลุ่มนักล่าจะค่อยๆ ส่งภาพ/วิดีโอลามกมาให้เหยื่อดูไปเรื่อยๆ
เพื่อสร้างความคุ้นเคยและใช้เป็นเครื่องมือเปิดการพูดคุยเรื่องเพศกับเหยื่อ

3. ลูกของคุณรับโทรศัพท์จากผู้ชายที่คุณไม่เคยรู้จักมาก่อน หรือ ลูกโทร.
ทางไกลไปยังหมายเลขที่คุณไม่รู้จัก

4. มีคนลึกลับส่งของขวัญ จดหมาย
หรือพัสดุมาให้ลูก

5. ลูกๆ มักปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือ
รีบเปลี่ยนหน้าจอทันทีที่คุณเดินเข้ามาในห้อง

6. เด็กจะห่างเหินจากกิจกรรมของครอบครับ
เพราะผู้กระทำความผิดจะพยายามทุกวิธีทางให้เด็กแยกตัวจากพ่อแม่
และถ้าบางครั้งเด็กถูกกระทำชำเราไปแล้วจะยิ่งเก็บตัวอย่างผิดสังเกต

7. ลูกมีที่อยู่อี-เมล์ (อี-เมล์ แอคเคานต์) หลายชื่อ เช่น เล่นที่บ้านชื่อหนึ่ง
แต่ไปเล่นตามร้าน ที่โรงเรียน และบ้านเพื่อนอีกชื่อหนึ่ง


ในกรณีที่ผู้ปกครองคาดว่าลูกๆ น่าจะถูกนักล่ากามออนไลน์ล่อลวง เอฟบีไอแนะแนวทางปฏิบัติเบื้องต้นไว้ว่า
1. อย่าด่าว่าลูก ให้เปิดอกคุยกัน
และเล่าให้ลูกฟังถึงอันตรายจากอาชญากรสังคมกลุ่มนี้

2. ลองเปิดเข้าไปตรวจดูไฟล์ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของลูกเป็นระยะๆ
ถ้าทำไม่เป็นให้ขอความรู้จากเพื่อน ญาติๆ เพื่อนที่ทำงาน
หรือคนที่มีความรู้ด้านไอที

3. ในส่วนของโทรศัพท์บ้านให้เปิดบริการโชว์สายโทร. เข้า และบันทึกเลขหมายโทร. ออก

4. ต้องคุยกับลูกว่าขอตรวจดูอี-เมล์ เป็นครั้งคราว
แต่ที่พ่อแม่ทำไปเพราะความเป็นห่วง

5. แบ่งเวลาเล่นคอมพิวเตอร์กับลูก
โดยอาจให้ลูกสอนวิธีใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ

6. ตั้งคอมพิวเตอร์ในห้องรับแขก/ห้องส่วนกลาง อย่าไปตั้งในห้องนอนลูก

7. สอนให้ลูกรู้วิธีป้องกันตัวจากนักล่าออนไลน์ เช่น
อย่าโพสต์ภาพ/รายละเอียดส่วนตัวลงไปในเว็บ
บทสนทนากับคนแปลกหน้าในเว็บมีโอกาสเป็นเรื่องหลอกลวงสูง
อย่าบอกชื่อจริงกับคนไม่รู้จัก
และอย่าคลิ๊กเข้าไปดูข้อความในกระดานข่าวที่มีถ้อยคำอนาจาร

8. พ่อแม่ต้องเข้าใจด้วยว่า ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาแล้วลูกไม่ใช่ฝ่ายผิด
แต่ถูกล่อลวงจากอาชญากรที่วางแผนมาเป็นอย่างดี

"มะเขือเทศ"พันธุ์ใหม่ ปลูกได้ทุกฤดูกาล


นักวิทยาศาสตร์บังกลาเทศคิดค้นเมล็ดพันธุ์ "มะเขือเทศตัดต่อพันธุกรรม" หรือ "มะเขือเทศจีเอ็มโอ" ที่ปลูกได้ทุกฤดูกาล และเมื่อเก็บเกี่ยวผลมาจำหน่ายแล้ว สามารถเก็บไว้ได้นาน 10-15 วัน โดยที่ผลมะเขือเทศไม่ช้ำเน่าเสีย

เซลินา สุลตานา และชาโมลิ ชาฮา สองนักวิทยาศาสตร์หญิงของบริษัท อีสต์-เวสต์ ซีด จำกัด (อีดับเบิลยูเอส) ผู้พัฒนาและจำหน่ายเมล็ดพันธุ์พืชรายใหญ่ของบังกลาเทศ ใช้เวลา 6 ปีพัฒนามะเขือเทศจีเอ็มโอในห้องทดลอง มีชื่อเรียกว่าพันธุ์ "มินตู" ผลการทดลองนำมะเขือเทศมินตูไปเพาะปลูกในพื้นที่ 17 แห่งทั่วบังกลาเทศ พบว่าเจริญงอกงามออกลูกออกผลได้ในทุกสภาพผืนดินและทุกฤดูกาล รวมทั้งฤดูฝนและฤดูร้อน ซึ่งตามปกติแล้วผลผลิตมะเขือเทศจะไม่ดีนัก

อีดับเบิลยูเอส ระบุว่า การทดลองปลูกมะเขือเทศมินตูจะทำต่อไปจนหมดฤดูร้อนปีหน้า เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวจะเริ่มจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ในเชิงพานิชย์ จากการทดลองที่ผ่านมาพบว่า เกษตรกรต้องใช้เวลาปลูกมะเขือเทศ 80-100 วัน จึงเก็บผลมารับประทานหรือขายได้ โดยน้ำหนักของลูกมะเขือเทศพันธุ์ใหม่นี้อยู่ที่ 60-80 กรัมต่อ 1 ลูกนักวิเคราะห์ราคาสินค้าเกษตรบังกลาเทศประเมินว่า ถ้าเกษตรกรสนใจซื้อมินตูไปปลูกอาจทำให้ราคามะเขือเทศในฤดูร้อนตกลงมาต่ำกว่า 12.5 บาทต่อกิโลกรัม ต่างจากราคาตามปกติที่ขายกันที่ 40 บาทต่อกิโลกรัม

‘รถบินได้’...ฝันเฟื่อง-ฝันที่เป็นจริง?


ในสายตาของ “คาร์ล ดีทริช” บัณฑิตคนเก่งจากคณะการบินและอวกาศของสถาบันเทคโนโลยีชั้นนำ “เอ็มไอที” ในสหรัฐอเมริกา มองว่า สถานการณ์ยุคปัจจุบัน น่าจะเหมาะสมแก่การเริ่มต้นพัฒนา “รถบินได้” อย่างจริงๆ จังๆ ทั้งความพร้อมด้านเทคโนโลยีและสภาพการจราจรบนท้องถนนที่ไม่ต่างจากจลาจลเข้าไปทุกที

ภายหลังจาก ดีทริชได้รับเงินทุนสนับสนุนจากเอ็มไอทีและกองทุนลีเมลสัน 1.2 ล้านบาท เขาจึงตัดสินใจนำเงินส่วนนี้บวกกับเงินของเพื่อนร่วมสถาบัน ก่อตั้งบริษัท “เทอร์ราฟูเกีย” เพื่อเดินเครื่องพัฒนาต้นแบบรถบินได้ รุ่น “ทรานสิชั่น” ดังที่เห็นในภาพ

ดีทริช อธิบายถึงข้อมูลด้านโครงสร้าง รวมถึงคุณสมบัติของรถเหาะทรานสิชั่นให้เว็บข่าว “ซีเน็ต” ฟังบางส่วน ว่า เครื่องยนต์ของรถรุ่นนี้ใช้เชื้อเพลิงไร้สารตะกั่ว มีอุปกรณ์หลัก เช่น แอร์แบ็ก กันชนออกแบบตามหลักกลศาสตร์ ระบบนำร่องด้วยดาวเทียม (จีพีเอส) และคอมพิวเตอร์ควบคุมความปลอดภัยด้านการบิน

“ปีก” ของรถเป็นปีกแบบ “พับได้” เหมือนกับปีกเครื่องบินบางรุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และปีกเครื่องบินรบเอฟ-18
ปัญหาใหญ่ของรถทรานสิชั่น คือ ต้องออกแบบห้องโดยสารและบรรทุกสัมภาระให้ “ถูกใจ” ผู้ซื้อ ไม่เช่นนั้นพอถึงเวลาจะขายขึ้นมาจริงๆ อาจขายยาก เพราะเล็กคับแคบเกินไป

เบื้องต้นผลการคำนวณออกมาว่า ทรานสิชั่นบรรทุกผู้โดยสารได้ 2 คน บวกกับสัมภาระอีกจำนวนหนึ่งรวมน้ำหนักไม่ควรเกิน 200 กิโลกรัม บินด้วยความเร็ว 193 ก.ม./ช.ม. อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่เกือบ 4 ลิตรต่อระยะทาง 48 กิโลเมตรโดยประมาณ

ดีทริช วางแผนนำต้นแบบรถเหาะทรานสิชั่นไปแสดงให้นายทุนผู้สนใจชมกันในงานอุตสาหกรรมการบินในรัฐวิสคอนซินช่วงปลายเดือนก.ค.นี้ ถ้ามีผู้สนใจร่วมลงทุนอาจผลิตวางตลาดได้ในปี 2553

Friday, February 17, 2006

"โปรเจ็คต์ เอ็ม 1" สวรรค์มือถือโสมใต้


กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ของประเทศเกาหลีใต้นี่ไม่ได้ทำงานแบบกระทรวงไอซีทีของบ้านเรานะครับ

"ไอซีทีพันธุ์ต้มยำกุ้ง" ดูจะง่วนอยู่กับการแก้กฎหมาย แปรสัญญากิจการโทรคมนาคม ให้เอียงไปทางธุรกิจของผู้ยิ่งใหญ่บางคน

แต่ "ไอซีทีพันธุ์โสม" จะเป็นแกนหลักช่วยขับเคลื่อนธุรกิจกลุ่มเทคโนโลยีสื่อสาร-สารสนเทศ ของเกาหลีใต้ในภาพรวมทั้งหมด

หนึ่งในแผนการฝันไกลของไอซีทีโสมใต้ก็คือ "โปรเจ็คต์ เอ็ม 1" (Mobile No.1 : M1)

มีชื่อเรียกเล่นๆ ไม่เป็นทางการว่าโครงการ "สวรรค์มือถือ"

ภายใต้โครงการเอ็ม 1 นี้ ในปี พ.ศ. 2550 ไอซีทีโสมจะจัดตั้ง "เขตพิเศษ" ขึ้นมา 1 แห่ง เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการทดลอง-ทดสอบเทคโนโลยีใหม่ถอดด้ามอันเกี่ยวข้องกับโทรศัพท์มือถือและเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายจากทั่วโลก

บริษัททั้งในและนอกประเทศเกาหลีใต้กลุ่มไหนต้องการนำเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของตนเองมาทดสอบ ทางไอซีทีก็พร้อมจะอำนวยความสะดวก รวมทั้งจัดหาพื้นที่ให้เข้ามาใช้งานได้เลย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง "โนเกีย" หรือบริษัทท้องถิ่นเล็กๆ

ตามปกติ ชาวเกาหลีใต้จะใช้งานมือถือเฉพาะในระบบ CDMA

แต่ ณ ดินแดน "สวรรค์มือถือ" ชาวโสมจะมีโอกาสใช้งานแพล็ตฟอร์ม/ระบบส่งสัญญาณมือถือประเภทอื่นๆ บนพื้นพิภพทั้งที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและใช้งานจริงไปแล้ว เช่น TD-SCDMA, WiBro, DVB-H, GSM

ซุก โฮ-อิก ผู้ช่วยรัฐมนตรีไอซีทีเกาหลีใต้ บอกว่า เป้าหมายขั้นแรกของโครงการเอ็ม 1 คือ เปิดทางให้คนในเขตพิเศษนี้ใช้งานมือถือทุกระบบ-ทุกรูปแบบเป็นกันทุกคน

ส่วนขั้นต่อไป กระทรวงไอซีทีจะหนุนให้ "อุตสาหกรรมมือถือเกาหลีใต้" กลายเป็นฐานการส่งออกเทคโนโลยีมือถือที่มีส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 30 ทั่วโลกภายในปี 2553

บางคนอาจมองว่าความฝันครองตลาดมือถือของเกาหลีใต้อาจใหญ่เกินตัว ก็ต้องรอดูกันต่อไป ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

Wednesday, February 15, 2006

พิษสงใหม่"ยาอี" ทำลายภูมิคุ้มกันร่างกาย

ลองขึ้นชื่อว่า "ยาเสพติด" ไม่มียาตัวไหนให้ประโยชน์กับผู้เสพอย่างแน่นอน ยังจำชื่อ "ยาอี" กันได้หรือไม่ ยาตัวนี้ระบาดหนักในสังคมไทยในหมู่ "ลูกกลุ่มคนผู้มีอันจะกิน"

ยาอีจัดเป็นสารอนุพันธ์ตัวหนึ่งของ "ยาบ้า" มีชื่อย่อทางเคมีว่าสาร "MDMA" ในอดีตนักเคมีทดลองสังเคราะห์ขึ้นมาโดยหวังว่าอาจมีประโยชน์ทางการแพทย์

แต่ผลกลับตาลปัตรเพราะส่งผลต่อสภาพจิตใจและอารมณ์ของผู้ใช้ยามากเกินไปจึงต้องยกเลิก จนกระทั่งมีคนลักลอบนำมาพัฒนาขายระบาดไปทั่วโลก

โทษของยาอี รวมทั้งยาตัวอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน เช่น ยาเลิฟนั้น เท่าที่ทางการพยายามประกาศให้เยาวชนและผู้เสพระวังตัวเอาไว้ให้ดีก็คือ...เสี่ยงต่ออาการหัวใจวาย ไตวาย ร่างกายขาดน้ำ ช็อก หมดสติ เลือดออกในสมอง

ส่วนผลลัพธ์เลวร้ายระยะยาว สารเคมีจากยาอีจะเข้าไปทำลายระบบประสาท ทำลายเซลล์สมองส่วนที่ทำหน้าที่หลั่งสาร "เซโรโทนิน" ทำให้ผู้เสพป่วยด้วยอาการโรคจึตซึมเศร้า นอนไม่หลับ และเกิดภาวะอยากฆ่าตัวตาย

ล่าสุด หนังสือพิมพ์การ์เดียน ประเทศอังกฤษ รายงานว่า "โธมัส คอนเนอร์" นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทรินิตี้คอลเลจ กรุงดับลิน ศึกษาค้นพบพิษภัยยาอีเพิ่มเติมขึ้นอีก นั่นคือ ยาอีนั้นจะมีฤทธิ์เข้าไปกด รวมทั้งทำลายระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย

ปรากฏการณ์ทางสังคมที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง คือ ทุกวันนี้มีวัยรุ่น-คนหนุ่มสาวในอังกฤษเสพยาอีกันเกลื่อนกลาด

คนกลุ่มนี้จึงจะค่อยๆ กลายเป็นคนสุขภาพอ่อนแออย่างรุนแรง เนื่องจากร่างกายมีโอกาสติดเชื้อโรค-เชื้อไวรัสสูงกว่าคนปกติ ถ้าปล่อยให้ปัญหาเรื้อรังต่อไปคนรุ่นต่อไปๆ ของอังกฤษก็จะเต็มไปด้วยคนไร้ประสิทธิภาพ

การเสพยาอาจสนุกชั่วครู่ชั่วยาม แต่ปัญหาที่ตามมามันบั่นทอนทั้งชีวิตของตัวเอง พ่อแม่ และไปไกลถึงระดับประเทศชาติ

ระบบรักษาความปลอดภัย สแกนเหงื่อพร้อมลายนิ้วมือ


การเข้ารหัสรักษาความปลอดภัยด้วยการสแกนลายนิ้วมือ หรือการเข้ารหัสชีวภาพนั้น ทุกวันนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว นักวิทยาศาสตร์จึงจำเป็นต้องหาวิธีการเข้ารหัสใหม่ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มอาชญากร หรือแม้กระทั่งกลุ่มก่อการร้ายปลอมแปลงลายนิ้วมือได้ง่ายๆ

วิธีการปลอมลายนิ้วมือมี 2 แบบหลักๆ
อย่างแรก ออกแนว "โลว์-เทค" โหดร้ายสักหน่อย เพราะต้องตัดนิ้วมือหรือกรีดเอาผิวหนังลายนิ้วมือของเจ้าของรหัสลับมาใช้เข้ารหัส
ส่วนวิธีที่ 2 ซับซ้อนขึ้นมาอีกนิด ต้องเก็บลายนิ้วมือมา "ขึ้นแบบ" ทำลายนิ้วมือปลอมด้วยสารชนิดต่างๆ เช่น "เจลลาติน"

ปัจจุบัน คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคลาร์กสัน สหรัฐอเมริกา กำลังพัฒนาวิธีป้องกันการปลอมแปลงลายนิ้วมือแบบใหม่ล่าสุด นั่นคือ แทนที่จะให้เครื่องสแกนเนอร์ตรวจเฉพาะลายนิ้วมือเพียงอย่างเดียว แต่คราวนี้จะตรวจลงลึกไปถึงรายละเอียดของ "เหงื่อ" ที่ฝังอยู่ในร่องลายนิ้วมือกันเลยทีเดียว

โครงการดังกล่าวของมหาวิทยาลัยคลาร์กสัน ได้รับเงินสนับสนุนงานวิจัยก้อนแรก 120 กว่าล้านบาทจากสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ (เอ็นเอสเอ) มีผู้ช่วยศาสตราจารย์สเตฟานี ชัคเคอร์ จากคณะวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ เป็นหัวหน้าทีมวิจัย

ชัคเคอร์ ระบุว่า "เหงื่อ" คืออาวุธสำคัญที่ทั้งนิ้วจากศพ ลายนิ้วมือปลอม หรือระบบคอมพิวเตอร์สร้างรอยนิ้วมือเทียมไม่มีและทำปลอมขึ้นมาไม่ได้ ระบบ "สแกนลายนิ้วมือและเหงื่อ" รุ่นใหม่ที่ตนพัฒนาขึ้นมา จะบันทึกลักษณะของเหงื่อที่ติดอยู่ในร่องบนลายนิ้วมือของคนแต่ละคน ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางเหมือนกัน

ผลการทดลองใช้ลายนิ้วมือปลอม 60 ชุดเข้ารหัสลับพบว่า ร้อยละ 90 เปิดรหัสลับได้สบายๆ แต่เมื่อเพิ่มระบบตรวจเหงื่อเข้าไปจะลดลงมาเหลือร้อยละ 10 เท่านั้น

นับเป็นอีก 1 เทคโนโลยีที่น่าสนใจและชาวโลกอาจมีโอกาสได้ใช้กันในอนาคต ถ้าราคาไม่แพงจนเกินไป

หมดยุคแผ่น "ซีดี!?"


ยุคสมัยของอุตสาหกรรมดนตรีประเภท "จับต้องได้" เช่น แผ่นซีดี แผ่นดีวีดี กำลังจะตาย

ตายด้วยฤทธิ์ของเทคโนโลยีก๊อบปี้แผ่นผี, อินเตอร์เน็ต, โทรศัพท์มือถือ และระบบดิจิตอล!

คนที่ออกมาคาดการณ์อนาคตอุตสาหกรรมดนตรีดังกล่าวก็คือ ผู้บริหารในบริษัท "ที-โมบายล์"
ผู้ให้บริการมือถือรายใหญ่

หลายปีก่อน กลุ่มศิลปินใต้ดินพยายามรบแบบ "กองโจร" เปิดเว็บไซต์ให้ลูกค้าเข้าไปดาวน์โหลดเพลงมาฟังฟรีๆ ถ้าชอบ ถ้าถูกใจ ค่อยสั่งซื้อซีดีกี่แผ่นๆ ก็อุดหนุนกันไปแล้วแต่ศรัทธา แต่ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา กลุ่มศิลปินเบอร์ใหญ่ๆ ที่มีสาวกอยู่ทั่วโลก เช่น
"ยูทู" "ร็อบบี้ วิลเลียมส์" "มาดอนน่า" ต่างกระโดดมาร่วมมือกับค่ายเพลงต้นสังกัด ทำการปฏิวัติช่องทางจัดจำหน่ายเพลงครั้งใหญ่

นั่นคือ การขายทั้ง "เพลง" "มิวสิควิดีโอ" และ "บทสัมภาษณ์พิเศษ" (Mobisodes) ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตส่งตรงในรูปแบบไฟล์ดิจิตอลไปยัง "เครื่องเล่นเพลงดิจิตอล-เอ็มพี 3" โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่อง "ไอพ็อด" ของค่ายแอปเปิ้ล

ในรายของ "ร็อบบี้ วิลเลียมส์" แผนเปิดตัวอัลบั้มใหม่ "Intensive Care" เมื่อเดือนก่อนร่วมกับบริษัทที-โมบายล์ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง และฉีกแนวรูปแบบการตลาดเดิมๆ

เพราะคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มในวันนั้น ทีมงานร็อบบี้ได้ถ่ายทอดสดผ่านอินเตอร์เน็ตไปฉายบนหน้าจอโรงภาพยนตร์และไนต์คลับ 27 แห่งทั่วทวีปยุโรป และส่งถ่ายทอดไปยัง "หน้าจอโทรศัพท์มือถือ" ของลูกค้าที-โมบายล์อีกหลายแสนคนเช่นกัน

ส่วน "มาดอนน่า" เจ้าแม่เพลงป๊อปก็โหมกระแสเปิดขายซิงเกิล "Hung Up" จากอัลบั้มใหม่ "Confessions on a Dancefloor" ในรูปแบบ "ริงโทนมือถือ" ผ่านเว็บไซต์ mtv กับ vh1 และเตรียมขายอัลบั้มเต็มส่งเข้าเครื่องเอ็มพี-3 ผ่านเว็บ logoonline.com

รออีกไม่นาน เราคงได้รู้ว่า "ซีดี" จะกลายเป็นวัตถุโบราณเหมือนแผ่นเสียง เทปคาสเซ็ตต์ และวิดีโอเทปตามที่คาดการณ์หรือไม่??

วัคซีน"นิกวักซ์" ยาช่วยเลิกบุหรี่


ในสหรัฐอเมริกากำลังวิจัยประสิทธิภาพของ "วัคซีนกำจัดสารนิโคติน" ที่อยู่ในบุหรี่ ไม่ให้เข้าไปสู่ "สมอง" ของสิงห์อมควัน

วัคซีนดังกล่าวมีชื่อว่า "นิกวักซ์" พัฒนาและจดสิทธิบัตรโดยบริษัทยา "นาบี ไบโอฟาร์มาซูติคัลส์" ตั้งแต่ปี 2547 ขณะนี้การวิจัยนิกวักซ์ในคนเข้าสู่ขั้นที่ 2 ได้รับเงินสนับสนุนการวิจัยจากสถาบันยาเสพติดแห่งชาติสหรัฐและบริษัทนาบี

หน่วยงานที่เข้าร่วมวิจัยประกอบด้วย มหาวิทยาลัยมินเนโซตา มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน และมหาวิทยาเนบราสกา เราทราบกันดีว่า "นิโคติน" เป็นสารเสพติดสำคัญในบุหรี่ ที่ทำให้สิงห์อมควันเลิกสูบบุหรี่ไม่ได้ง่ายๆ ส่วนคนที่ต้องตัดใจเลิกส่วนใหญ่ก็เพราะโดนนิโคตินกับเจ้าสารพิษตัวอื่นๆ ในบุหรี่เล่นงานจนป่วยงอมพระรามไปแล้ว

ดร.โดโรธี ฮัตสุกามิ ผู้อำนวยศูนย์วิจัยโรงมะเร็งที่เกิดจากการสูบบุหรี่ประจำมหาวิทยาลัยมินเนโซตา เปิดเผยว่า โครงการทดลองนิกวักซ์ขั้นที่ 2 ใช้อาสาสมัครที่เป็นกลุ่มคนสูบหรี่จัด 68 คน และเฝ้าติดตามพฤติกรรมหลังจากฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง 38 สัปดาห์ พบว่า

ในเบื้องต้น นิกวักซ์สามารถออกฤทธิ์กระตุ้นให้ร่างกายผลิตสารภูมิคุ้มกัน (Antibodies) ชนิดหนึ่งขึ้นมา ซึ่งมีคุณสมบัติสกัดกั้นและป้องกันไม่ให้สารนิโคตินหลุดจากกระแสเลือดเข้าไปออกฤทธิ์ในสมอง "ผลที่ตามมาจากการที่วัคซีนนิกวักซ์ป้องกันไม่ให้นิโคตินเข้าไปสู่สมองก็คือ เราจะไม่ค่อยรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเวลาสูบบุหรี่ และสมองก็จะไม่เกิดอาการเสพติดสารนิโคติน" ดร.ฮัตสุกามิ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ฤทธิของวัคซีนในการสกัดกั้นนิโคตินยังทำไม่ได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ นอกจากนั้น การฉีดวัคซีนยังทำให้อาสาสมัครบางส่วนเกิดอาการแพ้ยาต่างๆ กัน เช่น ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บตรงบริเวณที่ฉีดวัคซีนเข้าไป แต่อาการเหล่านี้จะหายไปภายใน 3 วัน

ดร.ฮัตสุกามิ ระบุว่า การวิจัยนิกวักซ์ยังต้องเดินหน้าเก็บข้อมูลต่อไปอีกระยะ เพราะยังมีคำถามหลักๆ อีก 2-3 ข้อ ที่ต้องตอบให้ได้ก่อนนำออกไปใช้จริง นั่นคือ วัคซีนตัวนี้จะออกฤทธิ์ไปได้นานเท่าไหร่ และสามารถป้องกันไม่ให้คนที่เลิกสูบบุหรี่ไปแล้วกลับมาสูบอีกครั้งได้หรือไม่

"จีน"ทุ่มแสนล้าน ผลิตพลังงานหมุนเวียน

ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก บวกกับปัญหาพลังงานธรรมชาติอย่าง "ถ่านหิน" ที่ก่อให้เกิดมลภาวะ ทั้งยังหายากขึ้นทุกวัน

ทำให้ประเทศ "จีน" ซึ่งเป็นมหาอำนาจดาวรุ่งอยู่ในขณะนี้ ต้องวางแผนด้านพลังงานให้ดี เพราะเรื่องของพลังงานนั้นส่งผลกระทบต่อ "ความมั่นคง" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ปัจจุบัน ถือว่าจีนเป็นชาติที่มีอัตรานำเข้าและเผาผลาญน้ำมันสูงสุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ขณะเดียวกันไฟฟ้าร้อยละ 70 ที่ใช้ในประเทศจีนก็มีแหล่งกำเนิดมาจากถ่านหิน

เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตพลังงานระยะยาว รัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนจึงมอบหมายให้บริษัทพลังงานในกำกับของรัฐ นั่นคือ "ไชน่า เอนเนอร์ยี่ คอนเซอร์เวชั่น อินเวสต์เมนต์ คอร์ป." เริ่มลงทุนวางโครงสร้างสำหรับดึงเอา "พลังงานหมุนเวียน" มาใช้ประโยชน์สูงสุด

พร้อมกับออกกฎหมายลดหย่อนภาษีครั้งใหญ่ให้กับบริษัทและธุรกิจที่ใช้พลังงานหมุนเวียนประเภทต่างๆ

ยกตัวอย่างเช่น พลังงานจากแสงอาทิตย์ ลม น้ำ และพลังงานชีวมวล (ไบโอแมส)

เบื้องต้น บริษัทไชน่า เอนเนอร์ยี่ฯ ประกาศทุ่มเงินลงทุนอย่างต่ำ 99,200 ล้านบาทภายใน 5 ปี เพื่อสร้างโรงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนประเภทดังกล่าว

ล่าสุด โรงไฟฟ้าพลังลมขนาดยักษ์ 2 แห่ง และโรงไฟฟ้าจากการเผาขยะและบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่อีก 1 แห่งของจีนก็ได้ฤกษ์ตอกเสาเข็มก่อสร้างกันไปแล้ว

นอกจากนั้น ภายใน 5 ปีข้างหน้ายังจะสร้างโรงไฟฟ้าพลังขยะเพิ่ม 9 แห่ง และสร้างโรงไฟฟ้าพลังชีวมวล ในจังหวัดที่เน้นสร้างผลผลิตทางการเกษตรเป็นหลักอีก 30 แห่ง เพื่อนำขยะ/วัสดุเหลือใช้จากการเกษตรมาเผาไหม้นำความร้อนมาผลิตเป็นไฟฟ้า

จีนตั้งเป้าว่าภายในปี 2563 พลังงานหมุนเวียนจะมีสัดส่วนการใช้งานคิดเป็นร้อยละ 15 ของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนไปเรื่อยๆ

ไม่ว่าจะเป็นชาติมหาอำนาจ หรือ ชาติเล็กๆ ถ้าเป็นเรื่องของพลังงานแล้วจะประมาทปล่อยเลยตามเลยไม่ได้เด็ดขาด

"ขยะดิจิตอล" ท่วมชาติยากจน


ขณะนี้องค์กรพิทักษ์สิ่งแวดล้อมในสหรัฐอเมริกากำลังเป็นห่วงถึงผลกระทบจากปัญหา "ขยะดิจิตอล"

ขยะดิจิตอล หมายถึง ขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "คอมพิวเตอร์เก่าๆ" ที่ใช้งานได้ไม่สมประกอบเท่าไหร่ ซ่อมไปก็ไม่คุ้ม หรือบางทีก็เสียหายใช้การไม่ได้เลย

ขยะล้ำสมัยพวกนี้แหละที่ประชาชนสหรัฐมัก "บริจาค" ให้กับบริษัทรีไซเคิลผลิตภัณฑ์หลายแห่งทั่วประเทศ

ด้วยเจตนาดีว่า ทางบริษัทจะแจกจ่ายคอมพิวเตอร์เก่าๆ เหล่านี้ไปให้กับประชาชนใน "ประเทศกำลังพัฒนา" ใช้เพื่อจะได้รู้เท่าทันความก้าวหน้าของเทคโนโลยี

แต่องค์กรสิ่งแวดล้อม "เบเซิล แอ็กชั่น เน็ตเวิร์ก" ในนครซีแอตเติล สหรัฐ บอกว่า ชาวสหรัฐส่วนใหญ่ถูกบริษัทรีไซเคิลคอมพิวเตอร์หลอกต้มเข้าแล้ว เพราะก่อนที่บริษัทรีไซเคิลจะส่งคอมพิวเตอร์เก่าไปให้ชาติยากจน-ชาติกำลังพัฒนา ทั้งในแอฟริกาหรือเอเชียนั้น ทางบริษัทไม่ได้ปรับปรุงตัวผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้นแต่อย่างใด

โดยบางครั้งถ้าคอมพิวเตอร์ที่รับบริจาคมาในสภาพพังเละก็จะถูกบริจาคออกนอกสหรัฐไปเลย แต่ถ้ายังพอใช้งานได้ ทางบริษัทจะขายออกไปในราคาถูกๆ เพื่อที่จะไม่ต้องรับภาระทางการเงินในการรีไซเคิลคอมพิวเตอร์บริจาคให้ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์

ผลสุดท้าย คอมพิวเตอร์เก่าจากสหรัฐก็ไปกองเป็นภูเขา กลายเป็น "ขยะดิจิตอล" สร้างมลภาวะทำลายสิ่งแวดล้อมของชาติกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแอฟริกา เพราะวัตถุดิบและวัสดุในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ล้วนแต่มี "สารเคมีเป็นพิษ" อยู่ในตัวเครื่องทั้งนั้น

เช่น "จอคอมพิวเตอร์" 1 จอนั้นมีทั้งสารตะกั่ว แคดเมียม และสารกันไฟ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดมะเร็ง

องค์กรเบเซิล ระบุว่า สหรัฐใช้ข้ออ้างในฐานะ "ผู้บริจาค" ส่งขยะดิจิตอลไปสร้างภาระแก่ชาติยากจนได้ก็เพราะว่ารัฐบาลสหรัฐยังไม่ยอมลงนาม "สนธิสัญญาเบเซิล" ของสหประชาชาติ ซึ่งกำหนดปริมาณการขายขยะเป็นพิษนั่นเอง...เรียกว่าหัวหมอไม่มีใครเกินจริงๆ!

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ย่างก้าวที่ต้องรัดกุม

ตอนที่ 1

ปัญหา "น้ำมันแพง" ที่ปะทุอยู่ในเมืองไทยในขณะนี้

ถ้าเปรียบเป็นมวยก็ไล่ทุบไล่ถอง "รัฐบาลทักษิณ" จนน่วมจวนเจียนจะร่วงแหล่ไม่ร่วงแหล่

โครงการพลังงานทางเลือกต่างๆ และนโยบายประหยัดพลังงานถูกงัดออกมาประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดรัฐบาลพยายามลดกระแสกดดันด้านวิกฤตพลังงานอีกครั้ง

ด้วยการมอบนโยบายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ปัดฝุ่นเปิดเกมรุก สร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการนำ "พลังงานนิวเคลียร์" มาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าในอนาคต เพื่อเพิ่มพลังงานทางเลือกนอกเหนือจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ

ปัจจุบันเมื่อดูจากข้อมูลของสำนักงานปรมาณูสากล (ไอเออีเอ) พบว่า "โรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์" ทั่วโลกมี 400-500 โรง

ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศที่มีเทคโนโลยีสูง หรือไม่ก็ประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐ แคนาดา จีน รัสเซีย ยูเครน อินเดีย ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น

ขณะเดียวกันบางประเทศก็จำเป็นต้อง "ดิ้นรน" สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพื่อเหตุผลทางการเมือง สร้างเอาไว้ "ขู่-บลัฟ" ชาติอื่นๆ เช่น เกาหลีเหนือและอิหร่าน ซึ่งกำลังเปิดเดินเครื่องเตาปฏิกรณ์อีกครั้ง

การสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นก้าวย่างที่ต้องทำด้วยความรัดกุมรอบคอบสูงสุด บุคลากร-เทคโนโลยี-การเตรียมการต้องพร้อม

ไม่เช่นนั้นถ้าเกิดอุบัติเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นกับโรงไฟฟ้าประเภทนี้จะมีโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ตามมา เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับโรงไฟฟ้า "เชอร์โนบิล" ในยูเครน ซึ่งเจ้าหน้าที่ควบคุมเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทำงานด้วยความประมาท ทำให้ "กัมมันตรังสี" ฟุ้งกระจายออกไปสู่หลายประเทศ

จากข้อมูลของ "ศูนย์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี" ระบุว่า ข้อดีของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็คือ เป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่และมีความมั่นคงสูง เพราะสามารถเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าต่อเนื่องนานเป็นปีโดยไม่ต้องเติมเชื้อเพลิง ทั้งยังเป็นโรงไฟฟ้าที่ไม่ปล่อยก๊าซที่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นต้นเหตุของฝนกรดและก๊าซเรือนกระจก

แต่ข้อเสีย อันตราย และข้อควรระวังของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็มีเช่นกัน พรุ่งนี้มาว่ากันต่อ

ตอนที่ 2

เมื่อวานเกริ่นนำและเล่าถึงข้อดีของโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร มีความคิดจะจัดสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นพลังงานทางเลือกแทนน้ำมันเชื้อเพลิง วันนี้มาว่ากันต่อถึงลักษณะข้อควรระวังของการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

จากข้อมูลของศูนย์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระบุว่า ชนิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วโลกทุกวันนี้มี 3 แบบ ได้แก่

1. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบความดันสูง
โรงไฟฟ้าชนิดนี้น้ำจะถ่ายเทความร้อนจากแท่งเชื้อเพลิงจนมีอุณหภูมิสูงถึงประมาณ 320
องศาเซลเซียส ภายในถังขนาดใหญ่ที่อัดความดันไว้เพื่อไม่ให้น้ำเดือดกลายเป็นไอ
และนำน้ำส่วนนี้ไปถ่ายเทความร้อนให้แก่น้ำหล่อเย็นอีกระบบหนึ่งที่ควบคุมความดันไว้ต่ำกว่า
เพื่อให้เกิดการเดือดผลิตไอน้ำออกมาเป็นการป้องกันไม่ให้น้ำในถังปฏิกรณ์
ซึ่งมีสารรังสีเจือปนอยู่แพร่กระจายไปยังอุปกรณ์ส่วนอื่นๆ
ตลอดจนป้องกันการรั่วของสารกัมมันตรังสีสู่สิ่งแวดล้อม
โรงไฟฟ้าชนิดนี้มีข้อด้อยกว่าตรงที่ถังปฏิกรณ์มีราคาสูง
เนื่องจากต้องมีระบบป้องกันการรั่วไหลของน้ำระบายความร้อนและอัตราการไหลของน้ำภายในถังสูงในสภาวะความดันและอุณหภูมิสูง
เป็นผลให้เกิดปัญหาการสึกกร่อนตามมา

2. โรงไฟฟ้าแบบน้ำเดือด
ผลิตไอน้ำโดยตรงจากการต้มน้ำภายในถังซึ่งควบคุมความดันภายในต่ำกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบแรก
ดังนั้น ความจำเป็นในการใช้เครื่องผลิตไอน้ำและแลกเปลี่ยนความร้อน ปั๊ม
และอุปกรณ์ช่วยอื่นๆ ก็ลดลง
แต่จำเป็นต้องมีการสร้างอาคารป้องกันรังสีไว้ในระบบอุปกรณ์ส่วนต่างๆ ของโรงไฟฟ้า
เนื่องจากไอน้ำจากถังปฏิกรณ์จะถูกส่งผ่านไปยังอุปกรณ์เหล่านั้นโดยตรง

3. โรงไฟฟ้าแบบที่สามคือแบบ "แคนดู" มีการทำงานคล้ายคลึงกับแบบที่ 1
แต่แตกต่างกันที่มีการจัดแกนปฏิกรณ์ในแนวระนาบ
และเป็นการต้มน้ำภายในท่อขนาดเล็กจำนวนมากที่มีเชื้อเพลิงบรรจุอยู่แทนการต้มน้ำภายในถังปฏิกรณ์ขนาดใหญ่
เนื่องจากสามารถผลิตได้ง่ายกว่าการผลิตถังขนาดใหญ่ โดยใช้ "น้ำมวลหนัก"
มาเป็นตัวระบายความร้อนจากแกนปฏิกรณ์ นอกจากนี้
ยังมีการแยกระบบใช้น้ำมวลหนักเป็นตัวหน่วงความเร็วนิวตรอนด้วย
เนื่องจากมีการดูดกลืนนิวตรอนน้อยกว่าน้ำธรรมดา
ทำให้ปฏิกิริยานิวเคลียร์เกิดขึ้นได้ง่าย

ข้อควรระวังอันดับต้นๆ ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นอกเหนือจากการป้องกัน "รังสี" รั่วไหลก็คือ โรงไฟฟ้าชนิดนี้ต้องใช้ "น้ำ" จากแหล่งน้ำธรรมชาติเข้าไประบายความร้อนไอน้ำในโรงไฟฟ้าก่อนจะปล่อยน้ำร้อนดังกล่าวกลับสู่แหล่งน้ำตามเดิม ผลกระทบที่ตามมาคือ สัตว์น้ำที่ปรับตัวเข้ากับน้ำร้อนจากโรงงานไม่ได้จะย้ายถิ่นฐานหนีไป ทำให้ชาวประมงต้องย้ายที่ทำกินตามไปด้วย

การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จึงต้องมีการสำรวจผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยละเอียดอย่างต่ำ 4 ปี ถึงจะลงมือก่อสร้างได้จริง

10ปี"พืชผีดิบ"


ถึงวันนี้ "พืชดัดแปลงพันธุกรรม" หรือ "พืชจีเอ็มโอ" มีอายุครบ 10 ปีเต็มแล้วนะครับ

ย้อนกลับไป 10 ปีก่อน "มอนซานโต" บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา เป็นเจ้าแรกที่นำเอา "เมล็ดพืชจีเอ็มโอ" มาเปิดตัวอย่างเป็นทางการ

พร้อมกับประกาศก้องไปทั่วโลกว่า พืชจีเอ็มโอนี่แหละคือคำตอบสุดท้ายที่จะช่วยให้ชาวโลกรอดพ้นจากความหิวโหย ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม และช่วยให้เกษตรกรไม่ต้องสู้รบกับบรรดาแมลงศัตรูพืชตัวร้ายอีกต่อไป

หลังจากนั้น พืชจีเอ็มโอหลายชนิดก็ถูกส่งออกมาสู่ท้องตลาด

เช่น ถั่ว ข้าวโพด ฝ้าย รวมถึงพืชที่ใช้เป็นอาหารสัตว์

บริษัทเด่นๆ ที่ทำธุรกิจด้านนี้นอกเหนือจากมอนซานโตก็เช่น "ซินเจนตา" กับ "ดาวอะโกรไซเอินซ์"

แต่ดูเหมือนว่าอนาคตของพืชจีเอ็มโอนั้นไม่ค่อยสดใสเหมือนกับในยุคแรกๆ

เพราะยิ่งมีการขยายอุตสาหกรรมปลูกพืชจีเอ็มโอมากขึ้นเท่าไหร่

กระแสต่อต้านพืชชนิดนี้ก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

ทั้งยังโดนเรียกขานเสียใหม่ว่าเป็น "พืชผีดิบ" ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม

ธุรกิจพืชจีเอ็มโอแม้จะยังไปได้ดีในสหรัฐ

แต่ในประเทศอื่นๆ กลับต้องเผชิญกระแสต้านอย่างหนัก

ข้อดีในอดีต กลายเป็นข้อด้อยในปัจุบัน

โดยฝ่ายต่อต้านระบุว่า บริษัทผู้ผลิตไม่เคยแสดงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างชัดเจนว่า พืชจีเอ็มโอเป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้บริโภคหรือไม่ถ้ารับประทานในระยะยาว และพืชผีดิบเหล่านี้ยังทำให้ "ศัตรูพืช" ดื้อยาฆ่าแมลงมากกว่าเดิม

ล่าสุด ผลวิจัยในออสเตรเลียตอกย้ำภัยพืชผีดิบอีกครั้งหลังจากพบว่าหนูทดลองที่กินพืชจีเอ็มโอล้มป่วยหลายโรค

การต่อสู้กันระหว่างฝ่ายผู้ผลิตกับฝ่ายต่อต้าน "พืชผีดิบ" ยังจะดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น

โดยมีชีวิตของผู้บริโภคเป็นเดิมพัน!

ฝึกใช้"สุนัข"ตรวจ มะเร็งปอด-เต้านม

"มะเร็ง" เป็นหนึ่งในกลุ่มโรคร้ายที่คร่าชีวิตพลเมืองโลกมากที่สุด

ส่วนใหญ่กว่าจะรู้ตัวว่าถูกมะเร็งเล่นงาน โรคมักลุกลามเกินระยะแรกไปแล้ว

เพราะมันเป็นมัจจุราชเงียบที่ยังไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาให้เห็นชัดเจน

การหมั่นตรวจสุขภาพเพื่อหามะเร็งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุด

ในปัจจุบัน เครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์ล้ำสมัยไปมาก อาทิ วิธีตรวจแบบ Mammograms, CT Scan รวมถึงการผ่าตัดชิ้นเนื้อออกมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ

ล่าสุด คณะนักวิจัยสังกัดมูลนิธิไพน์สตรีท ในเมืองซานอันเซลโม รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ กำลังคิดค้นวิธีตรวจมะเร็งระยะแรกแนวใหม่ที่ต้องเรียกว่าเป็นแนวคิดแบบ "สูงสุดคืนสู่สามัญ"

เพราะทำโดยการนำ "สุนัข" มาดมกลิ่นลมหายใจของมนุษย์ เพื่อตรวจดูว่ามี "สารเคมี" ผิดปกติที่เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงโรคมะเร็งปนเปื้อนอยู่หรือไม่

สุนัขที่ทีมวิจัยนำมา "ฝึก" ดมกลิ่นความผิดปกติดังกล่าวมี 2 สายพันธุ์ นั่นคือ "ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์" ซึ่งเป็นสายพันธุ์สุนัขที่ตำรวจนิยมนำมาฝึกใช้ดมค้นหายาเสพติดและระเบิด กับ "โปรตุกีส วอเทอร์ด๊อก" สุนัขท้องถิ่นของโปรตุเกส

ทีมวิจัยอธิบายถึงวิธีการทดลองครั้งนี้ว่า ในลมหายใจของผู้ป่วยโรค "มะเร็งเต้านม" และ "มะเร็งปอด" จะมีสารอนุพันธ์ "แอลเคน" รวมทั้ง "เบนซีน" เจือปนอยู่มากกว่าคนปกติ

ดังนั้น ทีมวิจัยจึงนำลาบราดอร์ 3 ตัว และโปรตุกีส วอเทอร์ด๊อกอีก 2 ตัว มาฝึกดมกลิ่นแยกแยะสาร 2 ตัวนี้จากลมหายใจของผู้ป่วยมะเร็งทั้ง 2 ชนิด ซึ่งเป่าเก็บเอาไว้ในหลอดทดลอง

ผลการทดลองเบื้องต้นพบว่า จากจำนวนผู้ป่วยมะเร็งเต้านม 31 คน สุนัขสามารถดมกลิ่นลมหายใจและชี้ตัวผู้ป่วยถูกต้องร้อยละ 88 ส่วนผู้ป่วยมะเร็งปอด ชี้ตัวถูกต้องถึงร้อยละ 99

การวิจัยครั้งนี้ต้องใช้เวลาต่อไปอีกระยะ ในอนาคตอาจใช้เป็นหนึ่งในวิธีการตรวจหามะเร็งในระยะเริ่มต้น ควบคู่ไปกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ประเภทอื่นๆ

"ทีวีอินเตอร์เน็ต" อนาคตของการดูทีวี


"ทีวี" ที่ชาวโลกกำลังดูกันอยู่ทุกวันนี้กำลังจะเปลี่ยนไป!

ตามปกติรูปแบบการรับชมรายการทีวีนั้น "ผู้ชม" จะตกเป็นฝ่ายรับ

บรรดาสถานีทีวี บริษัทเคเบิลทีวี หรือทีวีผ่านดาวเทียม จะเป็นคนกำหนดมาว่าจะส่งเรื่องราวอะไรมาให้พวกเราดู

แต่ในอนาคต มีแนวโน้มสูงว่าพฤติกรรมการทำธุรกิจทีวีแบบเก่าๆ ดังกล่าวจะเป็นเรื่องตกยุคล้าสมัย

เพราะทีวีจะเปลี๋ยนไป๋

กลายเป็น "อินเตอร์เน็ตทีวี" (ไอพีทีวี)

หรือทีวีที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้

ปัจจุบัน จำนวนของสถานีทีวีทั่วโลกมีอยู่ในระดับหลักร้อยช่อง

แต่เมื่อเข้าสู่ยุค "ไอพีทีวี" ผู้ชมจะมีทางเลือกในการค้นหาและเลือกดูรายการทีวีต่างๆ จากทั่วทุกมุมโลกมาดูนับแสนนับล้านรายการด้วยตัวเอง ทำให้ไม่ต้องตกเป็นฝ่ายรับเหมือนในอดีต

บริษัทเทคโนโลยีสื่อสารและอิเล็กทรอนิกส์ใหญ่ๆ ต่างก็มุ่งหน้าไปยังถนนสายไอพีทีวี

ยกตัวอย่างเช่น "อินเทล" ผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่หมายเลข 1 กำลังผลิตชิปสำหรับใช้กับไอพีทีวีโดยเฉพาะ

ขณะเดียวกัน ทางฝั่งของเว็บไซต์ผู้ให้บริการค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต (เว็บไซต์เสิร์ชเอนจิ้น) ใหญ่ๆ ของโลก อาทิ "กูเกิ้ล" กับ "ยาฮู!" ก็มีแผนจะพัฒนาโปรแกรมเพื่อส่งข้อมูลรายการทีวีผ่านอินเตอร์เน็ตเช่นกัน

ด้านสถานีทีวีระดับโลก เช่น เอ็นบีซี เทอร์เนอร์บรอดคาสติ้ง อีเอสพีเอ็น เอ็มทีวี ก็เตรียมพร้อมผลิตข้อมูลรายการในรูปแบบของไฟล์ดิจิตอลเพื่อจัดส่งผ่านอินเตอร์เน็ต

อย่างไรก็ตาม ความฝันอันบรรเจิดของธุรกิจไอพีทีวีต้องขึ้นอยู่กับพัฒนาการด้าน "อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง" (บรอดแบนด์) ด้วยว่าจะไปได้ไกลขนาดไหน

และแทบไม่ต้องเดาก็รู้ว่า อุตสาหกรรมภาพยนตร์ลามกอนาจารจะเป็นหัวหอกในการบุกตลาดไอพีทีวีอย่างแน่นอน!

ภัยของ'บล็อก-ไดอารี่ออนไลน์'

ในฐานะที่ "สหรัฐอเมริกา" จัดเป็นประเทศกลุ่มหัวแถวด้านเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต เวลาเกิด "ข้อเสีย" จากการใช้ชุมชนอินเตอร์เน็ตผิดวิธี ย่อมต้องได้รับผลกระทบก่อนใครเพื่อน และชาติที่เดินตามหลังด้านเทคโนโลยี ก็น่าจะด้อมๆ มองๆ ดูสหรัฐเอาไว้เป็นตัวอย่าง จะได้ไม่ต้องผิดพลาดตามไปด้วย!

ล่าสุด ปรากฏการณ์ฮิตติดลมบนของ "บล็อก" ส่วนตัว หรือ "ไดอารี่ออนไลน์" ทั้งหลายในสหรัฐ กำลังค่อยๆ สร้างปัญหาให้กับเยาวชนอเมริกัน นั่นเป็นเพราะ "ข้อมูล" ที่กลุ่มเยาวชนเขียนป้อนใส่เข้าไปในบล็อกของตนเองนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชื่อ-นามสุกล หมายเลขโทรศัพท์ ภาพถ่าย และที่อยู่ ส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลจริง เสี่ยงมากต่อการที่ "อาชญากรอินเตอร์เน็ต" จะเข้าไปเก็บข้อมูลมาใช้แบบสบายๆ

ประเด็นที่นักวิชาการด้านสื่อสารของสหรัฐอเมริกา วิตกยิ่งกว่านั้นก็คือ เรื่องราวในชีวิตประจำวันที่เยาวชนอเมริกันเขียนและนำไปโพสต์บนบล็อก หรือ ไดอารี่ออนไลน์ ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน

ดูในมุมวัยรุ่น "การเขียนเรื่องจริง" มีค่าเท่ากับความจริงใจ เปิดเผย ไม่หลอกลวง แต่มุมกลับที่วัยรุ่นลืมคิดไปนั่นคือ บล็อกนั้นเป็นพื้นที่สาธารณะในโลกอินเตอร์เน็ต ฉะนั้นบุคคลที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าจากไหนจะเข้ามาสอดส่องพฤติกรรมประจำวันของผู้เขียนบล็อกก็ได้!

พฤติกรรมรายวันที่เคยเขียนเหล่านี้นี่แหละ ในอีกประมาณ 10 ปีข้างหน้ายามที่ผู้เขียนบล็อกเติบโตขึ้นกลายเป็น "ผู้ใหญ่" หรือมีเหตุต้องกลายเป็น "บุคคลสาธารณะ"...ข้อมูลในอดีตที่เคยเขียนบันทึกเอาไว้อาจถูก "ผู้ไม่หวังดี" งัดขึ้นมาโจมตีได้

กรณีดังกล่าวเคยเกิดขึ้นแล้วกับ "มายา มาเซล คีย์ส" บุตรสาวของนายอลัน คีย์ส นักการเมืองหัวอนุรักษ์นิยมในรัฐอิลลินอยส์ ในช่วงเวลาไม่นานก่อนหน้าการหาเสียงเลือกตั้งวุฒิสมาชิกอิลลินอยส์ มีคนเข้ามาที่บล็อกของ "มายา" และหลอกให้แสดงความเห็นเกี่ยวกับกลุ่มรักร่วมเพศ ทำให้เธอเขียนไปว่าเธอเคยมีประสบการณ์ "หญิงรักหญิง" และพอถึงวันเลือกตั้งก็มีคนนำข้อความที่ "มายา" เขียนไปโจมตีนายอลันทันที

การใช้เทคโนโลยีนั้นต้องรู้เท่าทัน ถ้าไม่ระวังตัวก็มีโอกาสตกเป็นเหยื่อสูง!

"ตร.แอลเอ"ทดลองใช้ "ลูกดอกจีพีเอส"สกัดรถคนร้าย


กองบัญชาการตำรวจนครแอลเอ. สหรัฐอเมริกา กำลังทดลองใช้อาวุธลับไฮเทคใหม่ล่าสุด ซึ่งจะใช้ปราบคนร้ายที่ซิ่งรถหนีการจับกุม ทำให้สายตรวจต้องขับรถไล่ล่าบนท้องถนนจนอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนทั่วไป

อาวุธลับดังกล่าวคิดค้นโดยบริษัทสตาร์เชส รัฐแคลิฟอร์เนีย มีชื่อเรียกว่า "ระบบวางแผนติดตามคนร้าย" ตัวอุปกรณ์มีลักษณะเป็นเหมือนกับลูกดอกทรงกลมคล้ายรูปกอล์ฟที่ยิงออกจากปากกระบอกปืนอัดอากาศ ซึ่งติดตั้งอยู่กับตัวถังรถยนต์ของตำรวจสายตรวจ

แมนดี้ แม็คคอลล์ ผู้บริหารสตาร์เชส เปิดเผยว่า พื้นผิวภายนอกของลูกดอกทรงกลมจะเคลือบด้วยกาวที่มีความเหนียวสูง หรือจะเรียกว่าซุปเปอร์กาวช้างก็ได้ ส่วนด้านในลูกดอกจะมีระบบตรวจสอบหาพิกัดบนพื้นโลกผ่านดาวเทียม (จีพีเอส) ฝังอยู่

เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ตำรวจจำเป็นต้องขับรถไล่ล่ารถคนร้าย ตำรวจก็กดปุ่มยิงลูกดอกจีพีเอสนี้ให้พุ่งไปติดกับตัวถังรถคนร้าย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องขับรถไล่กวดเร็วเกินไปบนท้องถนนจนอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวตำรวจเอง รวมทั้งประชาชนผู้บริสุทธิ์คนอื่นๆ เพราะเมื่อตำรวจทราบทิศทางการเคลื่อนที่ของรถแล้วก็สามารถวางแผนสกัดจับรถคนร้ายได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องกลัวว่าคนร้ายจะหลบหนีไปได้ง่ายๆ

เมื่อปี 2548 ที่ผ่านมา ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาเกิดเหตุตำรวจขับรถล่าคนร้ายถึง 100,000 คดี ผลการติดตามจับกุมส่วนใหญ่มักทำให้ประชาชนและตำรวจได้รับบาดเจ็บ นอกจากนั้น เฉพาะในนครแอลเอ เกิดคดีแบบเดียวกันนี้กว่า 600 คดี ทางกองบัญชาการตำรวจแอลเอจึงนำระบบวางแผนติดตามคนร้ายของสตาร์เชสมาทดลองใช้งาน

สูงสุดสู่สามัญ ส่ง"พิราบ"ตรวจมลพิษ


วิธีการตรวจสภาพอากาศ ระดับมลพิษในอากาศ และชั้นบรรยากาศ ณ วันนี้มีเทคโนโลยีรองรับมากมาย

ไล่ไปตั้งแต่การตั้งเสาอิเล็กทรอนิกส์ ส่งอากาศยานไปเก็บตัวอย่างอากาศ ใช้ดาวเทียมตรวจวิเคราะห์ ฯลฯ

ล่าสุด คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา กำลังพัฒนาวิธีตรวจมลพิษในอากาศแบบ "สูงสุดคืนสู่สามัญ"

นั่นคือ ใช้ฝูง "นกพิราบ" เป็นเครื่องมือในการแจ้ง/รายงานคุณภาพของอากาศ

เพราะไหนๆ ฟ้าก็เป็นของนกอยู่แล้ว ก็ใช้นกนี่แหละเที่ยวบินไปตรวจปริมาณมลพิษในอากาศตามพื้นที่ต่างๆ

อาจารย์เบียทริซ ดา คอสตา หัวหน้าโครงการดังกล่าว ให้ข้อมูลว่า

นกพิราบทำหน้าที่รายงานมลพิษทางอากาศมี 20 ตัว

แต่ละตัวจะถูกติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 2 ชนิดเอาไว้ที่ตัวของมัน

ชนิดแรก ได้แก่ กล้องวิดีโอดิจิตอลขนาดจิ๋ว ซึ่งผูกไว้ที่คอนกพิราบ เพื่อใช้ถ่ายทอดสัญญาณภาพกลับมายังทีมวิจัย

อีกชนิดก็คือ ชุดแผงวงจรโทรศัพท์มือถือขนาดเล็ก ซึ่งผูกติดอยู่บนหลังนก คอยทำหน้าที่ส่งข้อความ "เอสเอ็มเอส" แจ้งระดับมลพิษในอากาศกลับมายัง "เว็บไซต์" ที่ทีมวิจัยเปิดขึ้นมา เพื่อรายงานข้อมูลคุณภาพอากาศในแคลิฟอร์เนียให้ผู้สนใจเข้ามาตรวจสอบ

ในส่วนของแผงวงจรมือถือนั้นจะมีอุปกรณ์อีกหลายอย่างเชื่อมต่ออยู่ด้วย ได้แก่

(1.) เซ็นเซอร์วัดระดับก๊าซพิษ "คาร์บอนมอน็อกไซด์" และ "ไนโตรเจน ไดออกไซด์" ที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศ

(2.) อุปกรณ์รับส่งสัญญาณจีพีเอส หรือ ระบบบอกพิกัดบนพื้นโลกด้วยดาวเทียม

(3.) ซิมการ์ดมือถือ พร้อมกับชิพประมวลผลสำหรับระบบสื่อสาร

เบียทริซ บอกว่า จะปล่อยนกพิราบทั้ง 20 ตัวขึ้นไปเป็นเหมือนผู้ตรวจการณ์คุณภาพอากาศในเดือนส.ค. คงต้องรอดูกันอีกสักระยะว่าจะประสบความสำเร็จแค่ไหน

"รัฐสีเขียว"เลิกพึ่งน้ำมัน


กระแสรณรงค์ประหยัดพลังงาน ไม่ควรทำเป็น "แฟชั่น" เรียกคะแนนนิยมเอาตัวรอดไปวันๆ

ปัจจุบันรัฐบาลหลายประเทศทั่วโลก "ตาสว่าง" เห็นธรรมกันด้วยถ้วนหน้าแล้ว ว่า

ในเรื่องของ "พลังงาน" นั้นจะงอมืองอเท้าพึ่งพา "น้ำมัน" เพียงอย่างเดียวไม่ได้อีกต่อไป

ขอยกตัวอย่างความตื่นตัวของหลายๆ รัฐบาลมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง

เริ่มจากรัฐบาลบราซิล เค้าตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปีระบบรถโดยสารขนส่งมวลชน 80 เปอร์เซ็นต์ ต้องใช้เชื้อเพลิง "เอทานอล" ที่ผลิตจาก "ต้นอ้อย" เป็นหลัก

รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีบุชบอกกับชาวบ้านตรงๆ...เราต้องช่วยกันเลิกนิสัย "เสพติดน้ำมัน" ไม่เช่นนั้นชาติอเมริกันอันเกรียงไกรมีอันต้องขาดดุลการค้าจนบรรลัยเป็นแน่ พร้อมกันนั้นก็เตรียมวางแผนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์

รัฐบาลไอซ์แลนด์กำหนดนโยบายว่า ในปี 2593 รถยนต์ทุกคัน เรือทุกลำต้องใช้ "พลังงานหมุนเวียน"

ใกล้บ้านเรา เช่นมาเลเซีย ก็เพิ่งลงมือโรงงานไบโอดีเซลขนาดยักษ์ขึ้นมา หวังสร้างตัวเป็นชาติส่งออกไบโอดีเซลรายใหญ่

ล่าสุดที่ดูจะมาแรงแซงโค้ง-ตั้งเป้าไว้สูงกว่าใครเพื่อนก็คือรัฐบาลสวีเดน ซึ่งเป็นชาติแรกในโลกที่หาญกล้าประกาศ ว่า

ในอีก 15 ปีข้างหน้าสวีเดนต้องกลายเป็น "รัฐสีเขียว" เลิกพึ่งพาน้ำมันโดยสิ้นเชิง!

นางโมนา ชาห์ชิน รัฐมนตรีกำกับงานพัฒนาเพื่อความยั่งยืน กล่าวว่า ขณะนี้กำลังจัดตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษ ประกอบด้วยตัวแทนจากทุกส่วนในสังคม อาทิ นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ นักอุตสาหกรรม เกษตรกร ผู้ผลิตรถยนต์ ข้าราชการ ฯลฯ เพื่อให้มาช่วยกันระดมสมองวางแผนนำพาชาวสวีเดน 9 ล้านคนไปสู่ "สังคมปลอดน้ำมัน" ให้ได้ภายในปี 2563

ที่มาของนโยบาย "รัฐสีเขียว" ก็เนื่องมาจากการที่รัฐบาลสวีเดนประเมินว่า ในอนาคต 3 สิ่งนี้ต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

นั่นคือ 1.ภาวะโลกร้อนบีบบังคับให้โลกต้องเลิกใช้พลังงานสกปรก เช่น น้ำมัน-ถ่านหิน 2.ราคาน้ำมันแพงทะลุจุดเดือด ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกตกต่ำ (ซึ่งราคาน้ำมันจะยิ่งแพงบ้าเลือดเข้าไปอีก) และ 3.ผลสุดท้ายน้ำมันจะหมดสิ้นไปจากผืนโลก

ถ้าคืนวันมหาโหดเหล่านั้นมาถึงจริงอย่างที่สวีเดนพยากรณ์ไว้...ไม่กล้าเดาจริงๆ ว่าเมืองไทยจะตกอยู่ในสภาพไหน!?

Tuesday, February 14, 2006

"รองเท้าไฮเทค" ตัดเย็บด้วยคอมพิวเตอร์


เรื่องของ "รองเท้า" อาจดูเหมือนไม่สลักสำคัญอะไร

แต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ต้องพิถีพิถันเลือกซื้อกันพอสมควรเลยทีเดียว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งรองเท้าสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เด็ก นักกีฬา คนชอบออกกำลังกาย และคนทำงานที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มได้ง่ายๆ

ขณะนี้ประเทศสหภาพยุโรป (อียู) เค้ามองว่า อุตสาหกรรมรองเท้าในอนาคตจะต้องเปลี่ยนรูปโฉมไปจับกลุ่มลูกค้า 4-5 กลุ่มข้างต้น รวมทั้งคนที่มีความละเอียดลออในการเลือกซื้อรองเท้าให้ได้


รองเท้าพะยี่ห้ออียูในอนาคต ต้องไม่ใช่รองเท้าราคาถูกจาก "เอเชีย" ที่บุกเข้าไปตีตลาดรองเท้ายุโรปจนแตกกระจาย

แต่เป็นรองเท้าที่ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเครื่องสแกนเนอร์ สร้างแบบจำลอง 3 มิติ ซึ่งสามารถตรวจวัดขนาดและลักษณะทางกายภาพของ "เท้า" ของลูกค้าแต่ละคนให้ออกมาตรงตามความต้องการเป๊ะ

เมื่อซื้อรองเท้าจากฝั่งอียูไปใส่แล้วรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดปัญหารองเท้ากัดจนเกิดเป็นแผล หรือใส่แล้วเจ็บส้น บีบเท้าเกินไป ฯลฯ

ล่าสุด กลุ่มอียูออกเงินสนับสนุนบางส่วนให้สถาบันวิทยาการรองเท้า "อินเนสค็อป" ในสเปน ริเริ่มโครงการ "เออร์โกชู" เพื่อพัฒนาระบบจำลองภาพเท้า 3 มิติขึ้นมาใช้สำหรับออกแบบตัดเย็บรองเท้าชั้นดีที่เหมาะกับเท้าของลูกค้าแต่ละคน

โดยราคาของระบบคอมพิวเตอร์และเครื่องสแกนที่ทางร้านแต่ละร้านจะต้องซื้อไปติดตั้งจะตกประมาณ 6-7 แสนบาท

ผู้ผลิต "เออร์โกชู" เชื่อมั่นว่า ถ้าทำให้ลูกค้าเห็นถึงข้อดีและความแตกต่างของ "เกือกไฮเทค" ประเภทนี้ได้สำเร็จ ต่อไปในอนาคตการเลือกซื้อรองเท้าก็จะต้องคำนึงถึง "คุณภาพ" เป็นหลัก

แม้ว่าราคาจะสูงกว่ารองเท้าที่ผลิตจากฝั่ง "เอเชีย" 10-20 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยอมควักกระเป๋าเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า!

เพาะเซลล์เนื้อเยื่อ ปะกล้ามเนื้อหัวใจตาย


คนที่ป่วยเป็น "โรคหัวใจ" ทุกวันนี้ยังยิ้มออกนะครับ ถ้าอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะมีวิธีรักษาสารพัด

ไล่ไปตั้งแต่ออกกำลังกายเบาๆ ควบคู่ไปกับการทานยา ผ่าตัดบายพาส ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ เปลี่ยนหัวใจเทียม

หรือแม้แต่ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจสดๆ กันเลยก็ยังได้

แต่การรักษาเหล่านี้ไม่ได้ทำให้สภาพของหัวใจกลับมาดีเหมือนเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของผู้ที่รอดชีวิตจากอาการ "หัวใจวาย" และไม่ได้มีการเปลี่ยนหัวใจใหม่

กล้ามเนื้อและเซลล์เนื้อเยื่อของหัวใจจะกลายเป็น "แผลเป็น" ใหญ่หรือเล็กแล้วแต่ความรุนแรงของโรค

ส่งผลให้เกิดอาการเนื้อเยื่อหัวใจตาย ไม่ทำงาน

ในระหว่างนั้นถ้าได้รับหัวใจใหม่จากผู้บริจาคมาเปลี่ยนทันเวลาก็รอดไป ถ้าไม่ทันก็อาจต้องไปสวรรค์เร็วหน่อย

ด้วยวิทยาการปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา จึงพยายามคิดค้นวิธีการซ่อมแซมรักษาเนื้อเยื่อหัวใจรูปแบบใหม่

นั่นคือ ทดลองเพาะ "เซลล์เนื้อเยื่อ" ขึ้นมาในห้องปฏิบัติการ เรียกว่า "Cardiac Patch"

จากนั้นนำเซลล์ที่ได้ไปผ่าตัด-ปะทับลงไปแทนเซลล์เนื้อเยื่อหัวใจเก่าที่ตายไปแล้ว

ขณะนี้ การทดลองดังกล่าวยังอยู่ในขั้นทดสอบกับหัวใจ "หนู"

ทีมนักวิทยาศาสตร์ม.โคลัมเบียยอมรับว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากคุณภาพของเนื้อเยื่อหัวใจที่สร้างขึ้นมาใหม่ ต้องมีระดับความหนาแน่นของเซลล์ที่พอเหมาะพอดี

รวมทั้งทนทานต่อการถูกกระตุ้นด้วยคลื่นไฟฟ้า เหมือนกับหัวใจตามธรรมชาติในตัวเราทุกคน

การผ่าตัดปะชุนหัวใจครั้งนี้ต้องใช้เวลาวิจัยต่อไปอีกอย่างน้อยๆ 10 ปี...คงไม่รวดเร็วเหมือนการคิดวิธีปะกางเกงแน่ๆ!

ยุโรปสร้างยานอวกาศ ซ่อมตัวเอง-เลียนแบบผิวมนุษย์


นักวิจัยขององค์การอวกาศยุโรป (อีเอสเอ) นำโดย เอียน บอนด์ และ ริชาร์ด ทราสก์ จากมหาวิทยาลัยบริสตอล ประเทศอังกฤษ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาวัสดุผิวยานอวกาศที่สามารถซ่อมแซมรูและรอยรั่วไหลได้เองโดยอัตโนมัติ เลียนแบบผิวหนังมนุษย์ที่สร้างสะเก็ดรักษาแผลไม่ให้เลือดไหล

วัสดุผิวยานดังกล่าว ซึ่งผ่านการทดสอบในห้องปรับความดันเลียนแบบห้วงอวกาศเพื่อดูประสิทธิภาพการซ่อมตัวเองและผลที่เกิดเมื่ออยู่ภายใต้สนามแม่เหล็ก ประกอบด้วยวัสดุแผ่นบางซ้อนเป็นชั้นๆ เชื่อมด้วยเส้นใยแก้วขนาด 60 ไมครอนและมีเส้นผ่าศูนย์กลางภายใน 30 ไมครอน นับร้อยๆ เส้น ที่แต่ละครึ่งหนึ่งของเส้นบรรจุเรซิน อีกครึ่งหนึ่งบรรจุสารเคมีที่ทำปฏิกิริยากับเรซินทำให้เกิดความแข็งแรงทนทาน ทั้งนี้ เส้นใยแก้วจะถูกออกแบบมาให้แตกหักง่าย เมื่อผิววัสดุได้รับความเสียหาย สารเคมีทั้งสองฝั่งของเส้นใยจะไหลมาบรรจบและทำปฏิกิริยากันจนอุดรอยแตกหรือรู

ทั้งนี้ นักวิจัยวางแผนจะพัฒนาวัสดุที่แข็งแรงกว่านี้และทดสอบในสภาพที่รุนแรงกว่านี้ในขั้นต่อไป

ด้านคริสโตเฟอร์ เซ็มพรีมอส์กนิก ผู้นำการวิจัยเทคโนโลยีเยียวยาตัวเอง จากศูนย์วิจัยเทคโนโลยีอวกาศยุโรปของอีเอสเอ ในเนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า เขาหวังว่าวัสดุดังกล่าวจะป้องกันยานอวกาศจากอุกกาบาตขนาดเล็กที่พุ่งไปมาทั่วอวกาศด้วยความเร็วหลายพันเมตรต่อวินาที ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายให้ดาวเทียมหรือยานอวกาศ แต่คงต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 10 ปีในการพัฒนาเทคโนโลยีให้ใช้กับยานอวกาศได้อย่างสมบูรณ์

เมื่อ"มังกรดิจิตอล" เปิดศึกเทคโนโลยี!

คนที่ไม่เคยไปเยือนถิ่นมังกร "จีน" ในยุคนี้ อาจมีจินตภาพเดิมๆ ว่าเป็นสังคมคอมมูนแบบคอมมิวนิสต์

ชาวบ้านปลูกบ้านก่ออิฐสีแดง กระจายกันอยู่เป็นหย่อมๆ ทำไร่ไถนาไปตามเรื่อง

สภาพข้างต้นนี้ยังมีอยู่ครับ แต่สำหรับหัวเมือง เมืองท่า เมืองมหานคร และเมืองปริมณฑล ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว

ตึกรามบ้านช่องแปรสภาพเข้าสู่ยุคทุนนิยมเต็มสูบ แม้ชนชั้นปกครองจะเป็นรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์ก็ตาม

ความยิ่งใหญ่เกรียงไกรในอดีตที่ชาวจีนภูมิใจกันมาก คือ เป็นผู้คิดค้นวิทยาการล้ำสมัยกว่าใคร

เช่น อุปกรณ์ตรวจวัดแผ่นดินไหว การทำแผนที่โลก การคิดค้นกระดาษ

จนถึงยุคดิจิตอล ปี 2549 จีนก็ยังก้าวหน้าไปอีกขั้นด้วยการส่งมนุษย์นั่งยานอวกาศไปนอกโลก

พร้อมกันนั้นก็วางแผนส่งมนุษย์อวกาศจีนขึ้นไปย่ำอวกาศอีกเป็นระยะๆ รวมทั้งส่งคนจีนไปเหยียบดวงจันทร์ และสร้างสถานีอวกาศสัญชาติมังกร

ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา ลั่นวาจาแสดงจุดยืนชัดเจนว่า ยุทธศาสตร์พัฒนาจีน 5 ปีถัดจากนี้จะมุ่งเน้นไปที่พัฒนาการด้านวิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี เป็นหลัก

เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้น จีนจะต้องมีอันตกขบวนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งนับวันยิ่งสำคัญมากขึ้นทุกขณะ

ล่าสุด คณะรัฐมนตรีจีนจึงเร่งผลักดันนโยบายของปธน.หู ด้วยการออกโครงร่างนโยบาย "แผนพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระยะกลางและระยะยาว" ตั้งเป้าว่า ในปี 2563 เม็ดเงินสำหรับการอุดหนุนงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ต้องเพิ่มเป็นร้อยละ 2.5 ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (จีพีดี)

ภายใต้แผนพัฒนาฉบับนี้ รัฐบาลจีนกับภาคเอกชนจะร่วมกันทุ่มเงินวิจัยให้กับเทคโนโลยี 16 กลุ่ม

อาทิ ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์ ระบบโทรคมนาคม พลังงานนิวเคลียร์ เมล็ดพันธุ์พืชตัดต่อพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) และการสำรวจอวกาศ

การขยับตัวของ "มังกรดิจิตอล" ในครั้งนี้ ทำให้ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ผู้นำมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา ถึงกับต้องประกาศแผนพัฒนาการศึกษาด้านเทคโนโลยีของคนอเมริกันอย่างเร่งด่วน เพื่อเตรียมต่อกรกับจีน

ใครที่เคยคิดว่าจีนมีดีแค่ผลิต "ของโหลราคาถูก" คงต้องเปลี่ยนทัศนคติกันใหม่ได้แล้ว!

Sunday, February 12, 2006

"อี-คอมเมิร์ซ 3 มิติ" กลยุทธดึงลูกค้าออนไลน์

มาถึงขณะนี้ชื่อการทำธุรกิจ "พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์" หรือ "อี-คอมเมิร์ซ" เป็นชื่อที่คุ้นหูชาวโลกกันไปแล้ว

จุดด้อยของ "อี-คอมเมิร์ซ" ที่รับฟังมาก็คือ ลูกค้าไม่เชื่อมั่นเรื่องการโอนเงินและคุณภาพสินค้า เป็นหลักในส่วนของคุณภาพนั้นไม่กล้าสั่งซื้อ เพราะไม่มีโอกาสเห็นหน้าตาจริงๆ และไม่ได้ลองจับสัมผัสดูเองกับมือ

ทำให้ในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา บริษัทใหญ่ๆ โดยเฉพาะบริษัทจำหน่ายเสื้อผ้า-อสังหาริมทรัพย์-ของตกแต่งบ้านในสหรัฐอเมริกา พยายามแก้ไขข้อด้อยจุดนี้ด้วยการลงทุนทำ "อี-คอมเมิร์ซ 3 มิติ" (3D E-Commerce) เพื่อเปิดช่องทางให้ลูกค้ามี "ประสบการณ์เสมือน" ในการเข้าไปสัมผัสหรือมองเห็นตัวสินค้าที่ต้องการซื้ออย่างใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุดผ่านเว็บไซต์อินเตอร์เน็ต

เช่น เลือกดูกางเกงยีนส์ได้รอบตัว 360 องศา, เลือกซูมเข้าไปดูความละเอียดของเนื้อผ้า, เลือกหยิบเอาหมวก รองเท้า เสื้อ กางเกง หลายสไตล์มาลองสวมกับหุ่น 3 มิติ, มองเห็นลักษณะการจัดวางพื้นที่ในตัวบ้านแบบ 3 มิติ, เลือกเปลี่ยนสีสินค้าต่างๆ ได้ ฯลฯ บริษัทแถวหน้าในสหรัฐที่รับจ้างผลิตเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซ 3 มิติ มีชื่อว่า "มาย เวอร์ชวล โมเดล" (เอ็มวีเอ็ม) มีลูกค้าเป็นบริษัท-ห้างร้านใหญ่ๆ เช่น อาดิดาส สปีโด เซียร์ส เอชแอนด์เอ็ม หน้าที่ของ "เอ็มวีเอ็ม" ได้แก่การเปิดเว็บไซต์ myvirtualmodel เพื่อให้ลูกค้าของกลุ่มบริษัทข้างต้นลงมือใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สร้าง "นายแบบ/นางแบบเสมือน" ขึ้นมา ซึ่งมีหน้าตา ขนาดหน้าอก สีผิว หุ่น ทรงผม ส่วนสูง น้ำหนัก หรือแม้แต่หนวดเครา ใกล้เคียงกับตัวลูกค้ามากที่สุด

โดยเมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถนำ "นายแบบ/นางแบบเสมือน" ที่ได้ไปใช้เป็น "หุ่น" ทดลองเลือกเอาชุดว่ายน้ำ เสื้อผ้า รองเท้ายี่ห้อที่ต้องการมาสวมบนตัวหุ่น เพื่อให้ลูกค้ามีโอกาสเลือกสินค้าที่เหมาะกับตัวเอง กลยุทธการตลาดแบบนี้มีจุดเด่นตรงความสนุกและช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น ทั้งยังถือเป็นการเก็บข้อมูลกลุ่มลูกค้าไปในตัว

เพราะเงื่อนไขก่อนการสร้าง "หุ่นเสมือน" นั้นต้องให้ลูกค้ากรอกที่อยู่อี-เมล์และรายละเอียดอื่นๆ ทิ้งไว้ด้วย

"เบียร์จีเอ็มโอ" อนาคตของเบียร์??


คอเบียร์คงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ธัญพืชที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตเบียร์มีหลายชนิดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นข้าวมอลต์ ข้าวสาลี ข้าวเจ้า ข้าวโอ๊ต ข้าวไรน์

จากนั้นใส่ "ฮอปส์" เข้าไปเพื่อเพิ่มความขมกับรักษาคุณภาพของเบียร์ พร้อมกับใส่ "ยีสต์" เข้าไปเพื่อทำให้เกิดกระบวนการหมัก

"ข้าวโพด" ก็เป็นธัญพืชอีกประเภทหนึ่งที่ใช้ทำเบียร์ได้และเนื่องจากข้าวโพดเป็น "พืชตัดต่อพันธุกรรม" (พืชจีเอ็มโอ) ที่ปลูกกันมากอันดับต้นๆ ของโลก

"เคนธ์ เพอร์สัน" เจ้าของธุรกิจผลิตเบียร์ท้องถิ่นในประเทศ "สวีเดน" จึงตัดสินใจวัดดวงนำเอา "ข้าวโพดจีเอ็มโอ" มาผลิตเป็น "เบียร์จีเอ็มโอ"...

เบียร์ของคุณเคนธ์ ใช้ชื่อยี่ห้อเหมือนเจ้าของ "เคนธ์เบียร์" ดูจากขวด เนื้อเบียร์ ฟองเบียร์ ไม่มีอะไรแตกต่างจากเบียร์ตามท้องตลาด นักข่าว "ซีเอ็นเอ็น" ที่อาสาพาผู้ชมไปชิมเบียร์เคนธ์ด้วยตัวเองรายงานว่า รสชาตินุ่มเหมือนเบียร์ทั่วไปจริงๆ

เคนธ์บอกว่า ตามธรรมชาตินั้นไร่ข้าวโพดต้องพ่นยาฆ่าแมลงศัตรูพืชจำนวนมาก เพื่อป้องกันทั้งหนอนและเชื้อรา แต่ข้าวโพดจีเอ็มโอได้รับการตัดต่อพันธุกรรมของสารต่อต้านศัตรูพืชเข้าไปในตัวมันเองอยู่แล้วทำให้ไม่ต้องใช้สารเคมีฆ่าแมลงจำนวนมากในการดูแลไร่ข้าวโพด ถ้าดูเบียร์ในขวดจะไม่พบความผิดปกติ แต่ถ้าไปดูไร่ข้าวโพดของเคนธ์จะพบว่า ข้าวโพดจีเอ็มโอจะมีต้นเตี้ย/เล็กกว่าปกติ

เมื่อเดือนเมษายน ปี 2547 ภายหลังจากสหภาพยุโรป (อียู) อนุญาตให้วางจำหน่ายอาหารจีเอ็นโอได้ เคนธ์จึงเริ่มปลูกข้าวโพดจีเอ็มโอจนสามารถนำมาผลิตเบียร์ขายเช่นทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม ความหวังในการส่งเบียร์จีเอ็มโอไปเจาะตลาดใหญ่ของยุโรปนอกสวีเดนไม่ใช่เรื่องง่าย

อย่างน้อยๆ ทั้งในเยอรมนีกับฝรั่งเศส ก็มีกระแสต่อต้านอาหารจีเอ็มโออย่างรุนแรง เพราะไม่มั่นใจว่าทานหรือดื่มเข้าไปแล้วระยะยาวจะส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ!?

นวัตกรรมเพื่อคนหูตึง โทรศัพท์โชว์ปาก-หน้าคู่สาย


ในทวีปยุโรป มีโครงการนำเทคโนโลยีมาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีปัญหาการรับฟังเสียง

ในกรณีนี้หมายถึงว่า หูตึงรุนแรงแต่ยังพอได้ยินเสียงอยู่บ้างเล็กน้อย ไม่ถึงขั้นหูหนวกร้อยเปอร์เซ็นต์

แกนนำของโครงการดังกล่าวมีสถาบันคนหูหนวกประเทศอังกฤษ (อาร์นิด) เป็นหัวหอก ร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษา รวมถึงสถาบันวิจัยหลายแห่งทั้งในอังกฤษ สวีเดน เนเธอร์แลนด์ เป้าหมายเพื่อพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์มาใช้เป็นสื่อกลางในการช่วยให้คนหูตึงสามารถอ่าน "ริมฝีปาก" ของคู่สายสนทนาโทรศัพท์ได้ด้วย

แน่นอน..."ริมฝีปาก" ที่ว่านี้ไม่ใช่ปากคนจริงๆ แต่เป็น "ริมฝีปากเสมือน" ที่สร้างขึ้นมาด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์เหมือนกับที่เห็นในภาพ

อาร์นิด ระบุว่า คนหูตึงที่จะใช้งานระบบอ่านริมฝีปากจำลองได้ต้องมีคอมพิวเตอร์ หรือ พีดีเอ ซึ่งลงโปรแกรมวิเคราะห์เสียงที่เรียกว่า "ซินธ์เฟซ" เอาไว้ และต่อสายเชื่อมเข้ากับตัวโทรศัพท์บ้าน-โทรศัพท์สำนักงาน-โทรศัพท์สาธารณะทั่วไป เมื่อรับสายโทร.เข้า คอมพิวเตอร์จะสร้างภาพจำลอง 3 มิติของใบหน้าคนขึ้นมา ต่อมาปากของหน้าคน (ปลอมๆ) บนจอคอมพิวเตอร์จะขยับตามลักษณะการขยับตัวของปากเวลาที่มนุษย์พูดคำๆ นั้น หรือ ประโยคนั้นๆ จริงๆ

ข้อดีของโปรแกรม "ซินธ์เฟซ" ก็คือช่วยให้คนหูตึงมีความมั่นใจมากขึ้นเวลาติดต่อสื่อสารผ่านโทรศัพท์ เนื่องจากการอ่านปากประกอบการฟังจะทำให้คนหูตึงรับรู้เรื่องราวที่กำลังสนทนากันอยู่อย่างถูกต้อง

บางท่านอาจตั้งคำถามว่า ถ้าเป็นแบบนี้สู้ใช้ระบบโทรศัพท์แบบเห็นหน้าเห็นตากันแบบ "วิดีโอโฟน" ไปเลยไม่ดีกว่าหรือ คำตอบจากฝั่งอาร์นิด คือ ระบบวิดีโอโฟนจะทำงานได้ต่อเมื่อทั้งฝ่ายที่โทร.มา และฝ่ายรับสาย มีโทรศัพท์ประเภทนี้โดยเฉพาะ ซึ่งราคาแพงใช่เล่น

แต่สำหรับ "ซินธ์เฟซ" นั้นแค่ใช้โทรศัพท์พื้นฐานโทร.เข้ามาตามปกติ เพียงแค่ฝ่ายผู้รับมีคอมพิวเตอร์และลงโปรแกรมเอาไว้ก็ใช้งานได้ทันที"ซินธ์เฟซ" อยู่ระหว่างการทดลองในยุโรป เบื้องต้นกลุ่มอาสาสมัครที่ร่วมวิจัย 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ตอบว่าพอใจกับนวัตกรรมล่าสุดเพื่อผู้พิการชิ้นนี้ครับ

"วินโดส์ วิสต้า" ติด"ไซด์บาร์"ใช้งานง่าย


ใกล้คลอดเต็มทีแล้วครับ สำหรับระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ (โอเอส) ตัวใหม่ถอดด้ามในตระกูล "วินโดส์" ของค่ายไมโครซอฟท์

นั่นก็คือโอเอส "วินโดส์ วิสต้า" (ชื่อรหัสเดิม "ลองฮอร์น") ซึ่งทางไมโครซอฟท์ใช้เวลาปลุกปั้นมาร่วมๆ 3 ปี ทั้งยังตั้งความหวังกับเจ้า "วิสต้า" ตัวนี้มาก คิดฝันไปกันไปถึงขั้นอาจทำลายสถิติยอดขายของวินโดส์ "เอ็กซ์พี"

หลังจากอั้นกันมานาน ในที่สุดไมโครซอฟท์ก็เผยโฉมหนึ่งในโปรแกรมเด่นที่จะบรรจุอยู่ใน "วิสต้า" เพื่อเอาใจกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปโปรแกรมนี้เรียกว่า "ไซด์บาร์" พิจารณาดูจาก "หน้าตา" ที่นำภาพมาโชว์ให้ท่านผู้อ่านดูแล้วสีสัน-รูปลักกษณ์ดึงดูดใจใช่ย่อย

จิม อัลชิน รองประธานไมโครซอฟท์ฝ่ายบริการผลิตภัณฑ์ บอกว่า ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์จอกว้างๆ ใหญ่ๆ ชนิด "ไวด์สกรีน" ได้รับความนิยมในตลาดโลกมากขึ้นเรื่อยๆ โปรแกรม "ไซด์บาร์" ถูกพัฒนาขึ้นมารองรับการใช้งานจอไวด์สกรีนโดยเฉพาะโดยมันจะปรากฏอยู่ทางด้านข้างของจอคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่เป็น "ศูนย์รวม" ของโปรแกรมแอพลิเคชั่นต่างๆเช่น โปรแกรมเล่นหนัง/ภาพ/เพลง โปรแกรมรายงานข่าวจากเว็บไซต์ (อาร์เอสเอส ฟีด) โปรแกรมท่องอินเตอร์เน็ต เอ็มเอสเอ็น นาฬิกา ฯลฯ

ความจริงแนวคิดทำจุดรวมแอพลิเคชั่นแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่ "วิสต้า" นำมาจัดวางให้ดุสะอาดตา เรียกใช้ง่ายผ่านการคลิกเพียงครั้งเดียว ช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องปิดหรือย่อ "เอกสารหลัก" ที่กำลังทำงานอยู่ตลอดเดือนก.พ. ไมโครซอฟท์จะนำ "วิสต้า" ที่มีไซด์บาร์แจกจ่ายให้สมาคมเทคโนโลยี "ซีทีพี" ทดลองใช้งานเพื่อปรับปรุงจุดด้อย และคาดว่าจะทยอยเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ ของโอเอสแห่งปีตัวนี้เพื่อปลุกกระแสความสนใจเป็นระยะๆ

โทรศัพท์มือถือ "ทีวี"จอที่3ของโลก


"ทีวี" ในยุค 2549 มี 2 ชนิด

1. ทีวีดูผ่านทีวีจริงๆ กับ 2. ทีวีดูผ่านคอมพิวเตอร์

แต่ในอนาคตบวก-ลบไม่เกิน 5 ปีนับจากนี้ กลุ่มอุตสาหกรรม "โทรศัพท์มือถือ" มีความเชื่อมั่นกัน ว่ามือถือจะกลายเป็น "ทีวีจอที่ 3" ของสังคมมนุษย์

ถ้าให้พยากรณ์คาดว่า รูปแบบของ "รายการทีวี" ที่ฉายผ่านจอมือถือ ซึ่งมีขนาดเล็กนั้นต้องมีรูปแบบการนำเสนอที่สั้น-กระฉับ-ไม่ต้องใช้สมาธิมากนักในการรับชม

ที่สำคัญคือต้องดาวน์โหลดรายการมาเก็บไว้ดูทีหลังได้ยามว่างเช่น คลิปมิวสิควิดีโอ คลิปรายการข่าว หรือคลิปรวมเรื่องเด็ดๆ อย่างการเตะจุดโทษของการแข่งขันฟุตบอลลีกใหญ่ๆ

เมื่อไม่นานมานี้นิตยสารธุรกิจ "บิสสิเนส วีก" เคยรายงานไว้ ว่า เฉพาะในตลาด "สหรัฐอเมริกา" ชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ของโลก..

แรงตอบรับของผู้บริโภคต่อธุรกิจทีวีมือถือน่าจะมีอัตราเติบโตต่อเนื่องโดยภายในปีพ.ศ. 2551 มูลค่าของธุรกิจให้บริการรับชมทีวีผ่านมือถือจะสูงถึง 76,000 ล้านบาท

ถ้าสถานการณ์เป็นเหมือนอย่างที่ประเมินกันจริงๆ ก็หมายความว่า รายได้ของธุรกิจที่ทำเงินให้กับ "โอเปอร์เรเตอร์" หรือ ผู้ให้บริการมือถือ ณ วันนี้ เช่น "ดาวน์โหลดริงโทน" และ "ส่งข้อความเอสเอ็มเอส" จะกลายเป็นเรื่องเด็กๆ ไปเลย

อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยน-ความสำเร็จของธุรกิจทีวีมือถือจะ "รุ่ง-ร่วง" ก็ขึ้นอยู่กับการลงทุนวางเครือข่ายส่งข้อมูลไร้สายความเร็วสูง (บรอดแบนด์ไว-ไฟ) เช่นกัน แต่ของแท้แน่นอนก็คือ บริการทีวีมือถือที่เล่ามานี้ไม่ใช่ของฟรีนะครับ

ถ้าอยากใช้พวกเราต้องเสียเงินอย่างแน่นอน ส่วนจะถูกจะแพงเหมาะสมกับคุณภาพหรือไม่เรื่องนั้นแล้วค่อยมาว่ากันอีกที