Tuesday, June 27, 2006

ฝนตกฟ้าคะนองอย่าโทร.มือถือ!!

จันทร์ที่ 26 มิ.ย. 2549 หน้าวิทยาการข่าวสดลงข่าวแพทย์อังกฤษเตือนภัยฟ้าผ่าคนใช้โทรศัพท์มือถือ

วันเดียวกันนั้นเอง หน้า 1 ข่าวสดก็รายงานข่าวมีประชาชนในสัตหีบถูกฟ้าผ่าบาดเจ็บสาหัส ขณะไปตกปลาอยู่ตรงสันเขื่อน

เบื้องต้นพบว่า ผู้บาดเจ็บรายนี้กางร่มที่คันร่มทำจากเหล็ก และกำลังคุยมือถืออยู่ขณะถูกฟ้าผ่า

กรณีฟ้าผ่าคนใช้มือถือได้หรือไม่นั้น ถกเถียงกันมานานพอสมควรครับ

ฝ่ายสมาคมเครือข่ายจีเอสเอ็ม ผู้ให้บริการมือถือ รวมถึงนักวิจัยบางกลุ่ม ก็นั่งยันนอนยัน ยังไม่เคยมีหลักฐานใดๆ พิสูจน์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า มือถือเป็นตัวการทำให้คนโดนฟ้าผ่า

ขณะที่นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มก็เชื่อมั่นเต็มร้อย...

มือถือมีคุณสมบัติเหนี่ยวนำสายฟ้าฟาดได้อย่างแน่นอน!

ข้อมูลจากวารสารการแพทย์อังกฤษ ฉบับเดือนมิ.ย.นี้ ระบุว่า คณะแพทย์อังกฤษ 3 คน นำโดยจอห์น เดรนเกนเบิร์ก จากห้องปฏิบัติการอันเตอร์ไรเตอร์ ยืนยันตรงกัน

ผลการศึกษาอาการของเด็กหญิงวัย 15 ปีที่ถูกฟ้าผ่าขณะใช้มือถือในสวนสาธารณะกรุงลอนดอน พบว่า การใช้มือถือขณะฝนฟ้าคะนองนั้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่า

และถ้าโชคร้ายถูกฟ้าผ่าขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ จะได้รับบาดเจ็บหนักกว่าคนที่ถูกฟ้าผ่าธรรมดาๆ หลายเท่าตัว!

สาเหตุเนื่องจากมือถือจะทำหน้าที่เป็นตัวเหนี่ยวนำเอากระแสไฟฟ้าไหลผ่านช่องหูเข้าสู่ อวัยวะภายใน เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการหัวใจวาย เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับเด็กหญิงคนดังกล่าว

เมื่อนำข้อมูลของแพทย์อังกฤษ มาบวกกับความรู้พื้นฐานที่ว่า การต่อสายโทร. มือถือแต่ละครั้งจะก่อให้เกิดการสร้าง สนามแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นเป้าล่อให้ฟ้าผ่ามาโดนชั้นดี ก็ยิ่งชัดเจนว่า ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เราไม่ควรใช้มือถือยามมีพายุฝนฟ้าคะนองเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยืนอยู่ในที่โล่ง

หยุดใช้มือถือไม่กี่นาที หรือ ไม่กี่ชั่วโมงเวลาฝนตก แลกกับมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายสิบปี น่าจะเป็นเรื่องคุ้มค่านะครับ!

พยากรณ์4สินค้าขายดี วางตลาด10ปีข้างหน้า

ในสหรัฐอเมริกา มี "สำนักคิด" หรือ "ธิงค์แทงก์" ที่ขายข้อมูลเกี่ยวกับอนาคตศาสตร์อยู่แห่งหนึ่ง

ชื่อ "สถาบันเพื่ออนาคต" (ไอเอฟทีเอฟ)

เจสัน เทส ผู้บริหารสถาบันแห่งนี้ ระบุว่า ในอดีตทำหน้าที่จัดทำรายการคาดการณ์สถานการณ์ในอนาคตให้กับลูกค้า บางฉบับหนาเป็นร้อยๆ หน้า ส่งผลให้ลูกค้าบางบริษัทขี้เกียจอ่าน

หลายปีที่ผ่านมาจึงปรับรูปแบบการนำเสนอใหม่

โดยวาดภาพออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมเลยว่า ผลิตภัณฑ์-สินค้า-บริการยอดนิยมที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคตในอีก 10 ปีข้างหน้าว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งปีนี้ทางสถาบันเปิดเผยให้อ่านฟรีผ่านสื่อ รวม 4 ประเภท ท่านผู้อ่านลองคิดตามดูว่าจะเป็นไปได้ขนาดไหน

1. ยาผลไม้

แนวคิดของผลิตผลการเกษตรยุคใหม่ก็คือ วิทยาศาสตร์ปัจจุบันสามารถตัดต่อพันธุกรรมเพิ่มสารอาหาร เช่น แร่ธาตุและวิตามินเข้าไปในอาหารหลายชนิดได้แล้ว จึงมีความเป็นไปได้ที่จะผสมเอา "ยา" เข้าไปในอาหาร เช่น ผลไม้ เพื่อให้รับประทานง่าย

2. เครื่องค้นหาและบล็อกคลื่นวิทยุอาร์เอฟไอดี

คาดว่าชิพคลื่นวิทยุอาร์เอฟไอดีจะถูกนำไปใช้งานอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นการฝังชิพตัวนี้ลงในเครติดการ์ด บัตรประชาชน ใบขับขี่ บัตรรักษาความปลอดภัย

ดังนั้นควรเริ่มการผลิตอุปกรณ์ค้นหาชิพอาร์เอฟไอดี เช่น ผลิตออกมาในรูปของโคมไฟที่สามารถส่องไปยังจุดที่มีชิพดังกล่าววางอยู่โดยอัตโนมัติ และควรเริ่มผลิตเครื่องป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้ามา "แฮ็ก" หรือ เจาะข้อมูลในชิพอาร์เอฟไอดีของเราอีกด้วย

3. น้ำกลาเซียร์

ในอนาคต "น้ำบริสุทธิ์" จะหายากขึ้นในโลกใบนี้เนื่องจากน้ำในแม่น้ำลำธารเหือดแห้งลงเรื่อยๆ เพราะภาวะโลกร้อน อย่างไรก็ตาม วิกฤตโลกร้อนก็ทำให้แผ่นหรือก้อนน้ำแข็งขั้วโลก (กลาเซียร์) ละลายเช่นกัน จึงสามารถนำน้ำแข็งขั้วโลกมาผลิตเป็นน้ำดื่มบริสุทธิ์

4. บริการติดตามการใช้งานอินเตอร์เน็ต

วิธีการทำงานคล้ายกับการติดตามยอดใช้บัตรเครดิต แต่เปลี่ยนเป็นระบบติดตามการใช้งานอินเตอร์เน็ตของแต่ละคนแทน เช่น การเข้าไปเขียนแสดงความเห็น หรือ เขียนข้อมูลที่เป็นความรู้เผยแพร่ตามบล็อกหรือเว็บไซต์ต่างๆ รวมถึงประวัติการจัดรายการวิทยุผ่านพ็อดคาสต์ ฯลฯ เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไปประกอบการสมัครงานและใช้ประโยชน์เพื่อการอ้างอิงอื่นๆ

สำหรับสินค้าข้อ 2 กับ 3 มีคนเริ่มลงมือทำเป็นธุรกิจแล้ว เพียงแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักของชาวโลกส่วนใหญ่ครับ

'โบอิ้ง' พับโครงการอินเตอร์เน็ตลอยฟ้า!?

ธุรกิจอินเตอร์เน็ต ถ้ามองไม่รอบด้านอาจดูสดใสกาววาว

แต่ความจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น

เพราะขนาด “ยักษ์ใหญ่” ก็ “ล้ม” ได้เหมือนกัน!

ย้อนกลับไปหลายปีก่อน บริษัทโบอิ้ง โค. เจ้าตลาดเครื่องบินโดยสารระดับโลก เปิดเผยแนวคิดที่เรียกเสียงฮือฮาในธุรกิจ “ดอต คอม”

นั่นคือ โครงการ “คอนเน็กชั่น บาย โบอิ้ง” ซึ่งจะช่วยให้ผู้โดยสารเครื่องบินสามารถใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของตัวเอง เชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (ไฮสปีดอินเตอร์เน็ต) ผ่านดาวเทียมขณะบินอยู่กลางเวหา

นับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา สายการบินนานาชาติหลายแห่ง ตัดสินใจนำระบบคอนเน็กชั่นมาเป็นหนึ่งในจุดขายทางการตลาด
เช่น โคเรียแอร์ แจแปนแอร์ไลน์ ลุฟต์ฮันซา ไชน่าแอร์ไลน์ สิงคโปร์แอร์ไลน์

กลุ่มลูกค้าที่โบอิ้งตั้งเป้าไว้ว่าจะหันมาใช้บริการก็คือ กลุ่มนักธุรกิจ รวมถึงผู้โดยสารที่ต้องบินเส้นทางไกลๆ เป็นหลัก

สนนราคาค่าธรรมเนียมแยกเป็น 4 ประเภท

1 ช.ม. คิด 9.95 เหรียญสหรัฐ, 2 ช.ม. คิด 14.95 เหรียญ, 3 ช.ม. คิด 17.95 เหรียญ และอัตราสุดท้ายคือเหมาจ่ายตลอดเที่ยวบิน 17.95 เหรียญ

อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนสมัครใช้บริการจะยุ่งยากพอสมควร เริ่มจากสเป็กของโน้ตบุ๊กที่ต้องสูงกว่ามาตรฐานตามท้องตลาด ตามด้วยการซื้ออุปกรณ์เสริมไวร์เลสการ์ด ต้องเข้าไปติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มเติมจากเว็บของคอนเน็กชั่น และต้องลงทะเบียนการใช้งานเมื่ออยู่บนเครื่อง

โครงการคอนเน็กชั่นทั้งหมดนี้ประเมินกันว่าใช้เม็ดเงินลงทุน 40,000 ล้านบาท

แต่ผลตอบรับกลับออกมาเป็นลบ ทำกำไรไม่ได้เลย ดังนั้นโบอิ้งจึงอยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าขะขายธุรกิจนี้ทิ้ง หาพันธมิตรใหม่มาร่วมทุน หรือปิดแผนกนี้ไปเลย

และคาดว่าถึงจะขายทิ้งได้ก็คงมีมูลค่าในตลาดไม่ถึง 6,000 ล้านบาทเท่านั้น

ทุกวันนี้ทีมคอนเน็กชั่นของโบอิ้งก็ยังอึ้งๆ คิดไม่ออกว่าเหตุใดบริการ “เน็ตลอยฟ้า” ถึงล้มพังพาบ ทั้งๆ ที่เป็นบริการที่สะดวกและดีมาก

ลองเปิดให้บริการฟรีสิครับ รับรองมีคนใช้เยอะเลย!

"ตลาดสดออนไลน์" เกษตรกรปลูกเอง-ขายเอง

จะดีแค่ไหน ถ้า "เกษตรกรท้องถิ่น" มีช่องทางจำหน่ายผลผลิตผ่าน "เครือข่ายอินเตอร์เน็ต" หรือ "เว็บไซต์" โดยไม่ถูกพ่อค้าคนกลางเอารัดเอาเปรียบจนแทบไม่ได้อะไรเลย?

ในเร็ววันนี้ในสหรัฐอเมริกา คุณฮีทเธอร์ ฮิลเลอเรน อดีตนักศึกษาธุรกิจและอดีตพนักงานร้านขายส่งสินค้าเกษตรปลอดสารพิษ "โฮลฟู้ดส์" ในรัฐวิสคอนซิน จะทดลองทำธุรกิจตามแนวทางข้างต้น

ฮิลเลอเรน เล่าให้นักข่าวสหรัฐฟังถึงที่มาการเปิดเว็บไซต์สื่อกลางขายสินค้าเกษตรปลอดสารพิษ www.greenleafmarket.com ว่า

หลังจากมีประสบการณ์ทำงานในห้างขายส่งสินค้าเกษตรขนาดใหญ่ทำให้พบจุดอ่อนว่า ห้างฯ เหล่านี้ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเกษตรกรท้องถิ่น

ส่วนใหญ่จะสั่งซื้อผลผลิตล็อตใหญ่ๆ จากฟาร์มขนาดใหญ่เพื่อความสะดวกทั้งในเรื่องการวางบิลล์ การขนส่ง สั่งออร์เดอร์ และต่อรองราคา

ขณะเดียวกัน ผลผลิต เช่น ผักสด เนื้อสัตว์ ผลไม้ ของเกษตรกรท้องถิ่นที่มีคุณภาพดี สดใหม่กว่ากลับถูกมองข้ามไป

ที่แย่ที่สุดก็คือ เกษตรกรรายย่อยไม่มีกำลังพอจะไปต่อรองราคากับห้างยักษ์

เว็บไซต์ greenleafmarket.com จึงถือกำเนิดขึ้นมาภายใต้แนวคิดเดียวกับเว็บเปิดประมูลสินค้าชื่อดัง นั่นคือ ebay.com เปิดทางให้ "ผู้ขาย" กับ "ผู้ซื้อ" เข้ามาพบปะซื้อขายกันโดยตรง

เว็บของฮิลเลอเรนรับหน้าที่เป็น "ตลาดสดออนไลน์" สื่อกลางการซื้อขายเฉพาะสินค้าเกษตรปลอดสารพิษเท่านั้น

แนวคิดเปิดเว็บ greenleafmarket.com ชนะเลิศได้เงินรางวัลสนับสนุนแผนธุรกิจมา 4 ล้านบาทจากผู้ว่าการรัฐวิสคอนซิน

เบื้องต้นภายในเว็บๆ นี้จะแบ่งเป็นหมวดหมู่ต่างๆ เช่น หมวดขายผัก ขายผลไม้ ขายเนื้อสัตว์ ฯลฯ โดยตัวเกษตรกรซึ่งลงทะเบียนกับทางเว็บเรียบร้อยแล้วจะนำข้อมูลหรือรูปภาพผลผลิตของตัวเองมา "โพสต์" ลงในเว็บได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ในส่วนของ "ผู้ซื้อ" ซึ่งเน้นหนักไปที่กลุ่มโรงแรม โรงเรียน ร้านอาหาร ก็สามารถเปิดเข้ามาในเว็บเพื่อเลือกซื้อสินค้าที่ต้องการ รวมทั้งต่อรองราคาและวิธีการจัดส่งสินค้ากับผู้ขายโดยตรง อีกทั้งยังสั่งพิมพ์รายละเอียดการซื้อออกมาเป็นใบเสร็จใบเดียวกัน

สำหรับผู้จัดทำเว็บไซต์จะได้ผลตอบแทนในรูปแบบของการสมัครเป็นสมาชิกใช้งานรายปี และเก็บค่าธรรมเนียมราวๆ 2 เปอร์เซ็นต์จากยอดขายสินค้า

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่จะทำให้แนวคิดก็คือสินค้าที่เกษตรกรนำมาขายในเว็บต้องสด-สะอาดจริง

ความจริงในเมืองไทยเว็บขายส่งสินค้าเกษตรก็มีนะครับ เพียงแต่จัดทำโดยบริษัทใหญ่

แนวคิดเปิดเว็บกลางให้เกษตรกรขายเองจากสหรัฐถือว่าน่าสนใจ ถ้าไปได้ดี ไม่แน่เราอาจเห็นเว็บประเภทนี้ผุดขึ้นทั่วโลก

"ลูกบอลอัจฉริยะ" แก้ปัญหา"ประตู"คาใจ

จนถึงวันปิดต้นฉบับ ศึกฟุตบอลโลก 2006 มีลูกปัญหาคาใจอยู่ 2 ลูก

ลูกแรก อาร์เจนตินาโหม่งชนเสาและทำท่าจะเข้าประตูไอวอรีโคสต์

ส่วนอีกลูกฮือฮาไปทั่วโลก เพราะเป็นลูกที่ฝรั่งเศสยิงและนายทวารเกาหลีใต้ปัดออกจากเส้นประตู

ผลจากการดูภาพรีเพลย์ พบว่า เป็นลูกเข้าประตูจริงๆ ทั้งสองลูก

แต่เมื่อ "ผู้ตัดสิน-กรรมการ" ชี้ขาดไปแล้วว่าไม่เข้า ก็ต้องแปลว่าไม่ได้ประตู

ปัญหายิงเข้า-ไม่เข้านี้พูดกันมาหลายยุคหลายสมัย

คนบางกลุ่มถึงกับเสนอให้กรรมการต้องตัดสินตามภาพรีเพลย์ที่ปรากฏในเทป แบบเดียวกับการแข่งอเมริกันฟุตบอล

แม้ปัจจุบัน "ฟีฟ่า" ยังไม่ยอมรับข้อเสนอข้างต้น เพราะเกรงว่าการใช้ "เครื่อง" มาตัดสินแทน "คน" จะทำลายเสน่ห์กีฬาลูกหนัง แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจอยู่เฉยๆ พยายามทดลองนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาช่วยกรรมการสนามตัดสินอยู่บ้าง

ตัวอย่างล่าสุดก็เช่นก่อนศึกฟุตบอลโลก 2006 จะระเบิดขึ้น "ฟีฟ่า" จับมือกับหลายองค์กรเพื่อสร้างระบบ "ลูกฟุตบอลอัจฉริยะ" เพื่อนำมาใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 และมีการทดสอบระบบในการแข่งขันฟุตบอลของประเทศเปรูเมื่อปีก่อน

สำหรับองค์กรที่เข้ามาร่วมมือกับ "ฟีฟ่า" ได้แก่ บริษัทเคียรอส เทคโนโลยี เยอรมนี สถาบันฟรานฮอเฟอร์ไอซี บริษัทพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์อีกหลายแห่ง และบริษัทอาดิดาส

โดยภายในลูกฟุตบอลอัจฉริยะนั้นจะถูกฝังชิพคลื่นวิทยุ "อาร์เอฟไอดี"

ขณะที่รอบๆ สนามแข่งจะติดตั้งเครือข่ายคอมพิวเตอร์ คอยดักจับสัญญาณจากลูกบอลว่ากำลังวิ่งไปในทิศทางไหน

ถ้าลูกบอลเลยเข้าเขตเส้นประตู ระบบก็จะส่งสัญญาณเตือนไปที่นาฬิกาข้อมือชนิดพิเศษของกรรมการเพื่อให้รับทราบทันที

อย่างไรก็ตาม ผลการทดสอบพบว่าระบบยังไม่สมบูรณ์ 100% เนื่องจากลูกบอลอาร์เอฟไอทีแยกไม่ออกว่าลูกกระทบด้านนอกกับด้านในของตาข่ายแตกต่างกันอย่างไร และเมื่อสับเปลี่ยนลูกบอลใหม่เข้ามาในสนามมักจะทำให้ระบบรวนและล่ม

บริษัทเคียรอส บอกว่า หลังจบศึกบอลโลกจะนำบอลอัจฉริยะมาปรับปรุงกันอีกที

ส่วนตอนนี้ก็เชื่อฟังกรรมการกันไปก่อน ไม่งั้นเจอใบแดงสถานเดียว! (22 มิ.ย. 2549)

"สกายซีเออร์" บินสอดแนมคนเมือง

ตามปกติแล้ว "อากาศยานไร้นักบิน" (ยูเอวี) หรือที่ทหารเรียกว่า "โดรน" นั้นพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในสนามรบ

แต่ล่าสุดบริษัทออคตาตรอน อิงก์ สหรัฐอเมริกา ดึงเอาโดรนมาใช้ในภารกิจที่ใกล้ตัวคนในสังคมมากขึ้น

นั่นคือ สร้างโดรนรุ่นใหม่ "สกายซีเออร์" เพื่อใช้เป็นเครื่องบินอัตโนมัติตรวจการณ์ในเขตเมือง

คอยสอดส่องพฤติกรรมความเคลื่อนไหวของกลุ่มนอกกฎหมาย แก๊งอาชญากร โจรผู้ร้ายต่างๆ

อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้ในภารกิจกู้ภัย หรือ ค้นหาคนหายได้ด้วย

ขณะนี้สำนักงานนายอำเภอนครลอสแองเจอลิส รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐ กำลังนำสกายซีเออร์มาทดลองใช้

คุณสมบัติของโดรนรุ่นนี้ที่ทางผู้ผลิตเปิดเผย ก็คือ

มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบาเพียง 2.3 กิโลกรัม สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย

บังคับด้วยคลื่นวิทยุ

ติดตั้งระบบหาพิกัดบนพื้นโลกด้วยดาวเทียม

ติดตั้งกล้องวิดีโอสอดแนม

บินต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงสุด 48 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้นาน 70 นาที

ซิด ฮีล หัวหน้าโครงการทดลองนำโดรนสกายซีเออร์ มาใช้งาน กล่าวว่า

ในเบื้องต้นโดรนจะเข้ามาแทนที่การตรวจการณ์ด้วย "เฮลิคอปเตอร์" เช่น ภารกิจติดตามไล่ล่าผู้กระทำความผิดที่ขับรถหลบหนี ติดตามโจรที่กำลังหลบหนีอยู่บนหลังคาอาคารหรือตึกสูง ถ่ายภาพสอดแนมความเคลื่อนไหวของกลุ่มอาชญากร

รวมถึงใช้ในภารกิจกู้ภัย เช่น ค้นหาผู้ติดอยู่ตามอาคารหลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ และใช้บินค้นหาเด็กที่พลัดหลงกับผู้ปกครอง

นอกจากนั้น ในอนาคตอาจมีการพัฒนาอุปกรณ์ในตัวโดรนให้ดักฟังเสียงและความเคลื่อนไหวภายในอาคารได้ด้วย ซึ่งในประเด็นนี้ยิ่งทำให้กลุ่มพิทักษ์สิทธิส่วนบุคคลไม่สบายใจ เพราะเกรงว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะใช้เทคโนโลยีโดรนมาละเมิดสิทธิประชาชน!

ไวรัสไข้หวัดนกปรับตัวสู้อากาศร้อน!?

ข่าวไข้หวัดนก ช่วงนี้ถึงจะเงียบๆ ไป

แต่ถ้าตามดูข่าวอย่างใกล้ชิด ภาวะการระบาดของโรคและไวรัสเอช 5 เอ็น 1 ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอินโดนีเซีย ที่สถิติผู้เสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดนกขยับไปอยู่ที่เกือบ 40 คนแล้ว

นอกจากนั้น ในประเทศแคนาดา ก็เพิ่งพบว่ามี ห่าน ทางภาคตะวันออก ตายเพราะเชื้อหวัดนกเช่นกัน แต่ยังไม่รู้สายพันธุ์

ที่เมืองเสิ่นเจิ้นของจีน สถานการณ์ยิ่งส่อเค้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เพิ่งเกิดกรณีคนขับรถบรรทุกล้มป่วยหนักด้วยอาการไข้หวัดนก ภายหลังจากเดินเข้าไปในตลาดสด และสั่งไก่มารับประทาน

ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า ผู้ป่วยรายนี้ติดเชื้อจากไก่ที่ขายอยู่ในตลาด หรือ ติดจากไก่ที่กินเข้าไป

เนื่องจากผู้ป่วยไม่เคยมีประวัติสัมผัสกับไก่ นก หรือสัตว์ปีกใดๆ มาก่อน

ยอร์ก โชว รัฐมนตรีสาธารณสุข ของฮ่องกง แสดงความวิตกกับเรื่องนี้มาก เพราะฮ่องกงกับเสิ่นเจิ้นตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน

โชว ระบุว่า ตามปกติไวรัสไข้หวัดนกจะไม่ค่อยระบาดเป็นวงกว้างมากนักในช่วงฤดูร้อน

ผิดกับหน้าหนาวที่ไวรัสหวัดนกจะเติบโตและแพร่กระจายได้ดี

การที่ทางการจีนพบผู้ป่วยหนักจากพิษไข้หวัดนกช่วงนี้จึงต้องระมัดระวังอย่างสูง และควรวิเคราะห์เชื้อออกมาให้ชัดเจนว่าเป็นเชื้อที่เกิดการ กลายพันธุ์ จนมีความแข็งแรงมากกว่าเดิมหรือไม่

สิ่งที่น่ากลัวก็คือ เมื่อฤดูหนาวมาถึง อากาศเริ่มเย็นลง

เจ้าไวรัสหวัดนกประเภทเดียวกันนี้จะออกฤทธิ์รุนแรงมากขึ้นหรือไม่

และควรวางแนวทางรับมืออย่างไรถ้าเกิดการระบาดครั้งใหญ่ขึ้นมาจริงๆ

เรื่องไข้หวัดนกนี่ประมาทไม่ได้ครับ ต้องเฝ้าระวังกันอย่างเข้มข้นต่อไปทุกประเทศ ไม่เฉพาะแต่จีนกับเขตบริหารพิเศษฮ่องกงเท่านั้น!

สูตรคณิตศาสตร์ ทายแชมป์ฟุตบอลโลก 2006

การพนัน เป็นเรื่องไม่แน่ไม่นอน

เคยได้ยินใครบางคนพูดว่า "โกงไม่เป็นอย่าริเป็นนักพนัน!"

กีฬาฟุตบอลโลกหนนี้ก็เหมือนกันครับ

ดูเอาสนุกสนานดีกว่า อย่าไปเล่นพนันเสียเงินเสียทองให้วุ่นวาย

พูดถึงเรื่องดูฟุตบอลโลกเพื่อความสนุกนี่คนอังกฤษเค้าคลั่งใคล้กันมาก

แต่ละวันมีข่าวลึกข่าวลับรายงานทุกแง่มุม

หนึ่งในข่าวนั้นก็คือ กรณีที่บริษัทดีซิชั่น เทคโนโลยี (เดคเทค) ออกมาป่าวประกาศผ่านหน้าหนังสือพิมพ์ดิ ออปเซิร์ฟเวอร์ ว่า

"บริษัทของเรามีสูตร "คณิตศาสตร์" ที่เขียนเป็นโปรแกรมป้อนเข้าคอมพิวเตอร์...

"และประมวลผลคำนวณออกมาได้ว่า ทีมใดมีโอกาสเป็นแชมป์ครองถ้วยฟุตบอลโลกปีนี้มากกว่าใครเพื่อน!"

ดร.เฮนรี่ สก็อตต์ ผู้อำนวยการบริษัทเดคเทคและอาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยวอร์วิก อ้างว่า

นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2545 เป็นต้นมา ทางบริษัทรวบรวมสถิติ-ข้อมูลการลงแข่งขันมากมายมโหฬารถึง 4,500 นัดที่ฟาดแข้งกันใน 200 ประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นพรีเมียร์ลีก บุนเดสลีกา กัลโช่ซีรีอา ฯลฯ

เมื่อป้อนข้อมูลเหล่านี้เข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ ก็จะทำการประมวลผลหา "ความน่าจะเป็น" จากสถิติการทำประตูในอดีตและในอนาคต ซึ่งได้ผลลัพธ์ออกมา ว่า

ทีมชาติบราซิล แชมป์บอลโลก 5 สมัย มีโอกาสครองแชมป์ฟุตบอลโลก 2006 มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 13.1 เปอร์เซ็นต์

ขณะที่ทีมชาติที่มีโอกาสชนะเลิศอันดับรองๆ ลงมา ได้แก่

ฝรั่งเศส (ซึ่งตกรอบแรกบอลโลกครั้งที่แล้ว)

เยอรมนี

เนเธอร์แลนด์

สาธารณรัฐเช็ก

ส่วนทีมชาติอังกฤษ ขวัญใจคนไทย ถูกจัดอยู่ในอันดับ 9 ไม่ว่าหนุ่มน้อย "เวย์น รูนีย์" จะลงเตะหรือไม่ก็ตาม

ก็เก็บมาเล่าให้ฟังสนุกๆ นะครับ ลองตัดข่าวนี้เก็บไว้

แล้วรอดูตอนจบว่าจะมีคนหน้าแตกหรือไม่!?!

"กูเกิ้ล"คิดโปรแกรม แอบฟัง-วิเคราะห์เสียงทีวี


ความนิยมของเว็บไซต์เพื่อการค้นหา (เสิร์ชเอนจิ้น) "กูเกิ้ล ดอท คอม" ทำให้ทุกวันนี้คำว่า "กูเกิ้ล" กลายเป็นคำสแลง หรือ สำนวนภาษาตลาดที่ของคนยุคนี้ไปแล้ว โดยเฉพาะคนในตะวันตก

เวลาหาข้อมูลเรื่องใดๆ ไม่เจอมักจะพูดกันว่า "ลองกูเกิ้ลดูสิ!"

เบื้องหลังความสำเร็จที่สำคัญของกูเกิ้ล คือ การทุ่มงบประมาณไม่อั้นสำหรับวิจัย-คิดค้นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ใหม่ๆ

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างการประชุม "ยูโร อินเตอร์แอ็กทีฟ เทเลวิชั่น" (ยูโรไอทีวี) ในยุโรป

ทีมวิจัยของกูเกิ้ลก็เพิ่งนำเสนอข้อมูลจากต้นฉบับงานวิจัยเทคโนโลยีชนิดใหม่ล่าสุด

นั่นคือ ระบบที่ช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถนำเสียงจากรายการโทรทัศน์มาวิเคราะห์ดูว่ารายการนั้นๆ พูดถึงเรื่องอะไรอยู่

โดยเมื่อวิเคราะห์เสร็จเรียบร้อย ก็จะเปิดเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่พูดในรายการทีวีขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

คอมพิวเตอร์จะดักฟังเสียงจากทีวีได้ผ่านทางไมโครโฟนที่ติดตั้งไว้กับคอมพิวเตอร์ ซึ่งลงโปรแกรมดักฟังเสียงทีวีไว้แล้วและเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต

หลักการทำงานเบื้องต้นของระบบๆ นี้ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเสียงจากรายการทีวีกำลังคุยกันถึงเรื่อง "อาหาร"...

คอมพิวเตอร์จะส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเข้าไปยังคลังข้อมูลออนไลน์ของกูเกิ้ล เพื่อค้นหาเว็บไซต์ในคลังข้อมูลที่มีผลลัพธ์สัมพันธ์กับอาหาร

อาทิ เว็บไซต์ร้านจำหน่ายพิซซ่า เว็บไซต์สูตรอาหารชนิดต่างๆ รวมทั้งสามารถเข้าไปในห้องสนทนาทางอินเตอร์เน็ต หรือ "แชทรูม" ที่ตั้งหัวข้อสนทนาเรื่องอาหารได้อีกด้วย

กูเกิ้ล มองว่า ระบบดังกล่าวถ้าพัฒนาจนสมบูรณ์จะมีประโยชน์อย่างมากต่อกลุ่มธุรกิจที่ต้องการลงโฆษณาสินค้าของตนให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย

เพราะการนำเสียงจากรายการทีวีมาวิเคราะห์ข้อมูลได้เช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการสำรวจพฤติกรรมการดูทีวี และการเลือกรับข้อมูลข่าวสารจากทีวีของผู้บริโภคแบบใกล้เคียงมากๆ

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยของกูเกิ้ลชิ้นนี้ยังอยู่แต่ในกระดาษเท่านั้น

ต้องผ่านการประเมินว่าจะคุ้มค่าเสียก่อนจึงค่อยพัฒนาต่อยอดต่อไป

Monday, June 12, 2006

"โปรตุเกส"ตอกเสาเข็ม โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ยักษ์

ภาพพจน์ของ "โรงไฟฟ้า" ต้องยอมรับว่าเป็น "ผู้ร้าย" มาโดยตลอดในสายตานักอนุรักษ์

ตัวผู้บริหารโรงไฟฟ้าเองก็คงรับรู้จุดอ่อนข้อนี้ดี

เพราะโรงไฟฟ้าทั่วโลกส่วนใหญ่ยังก้มหน้าก้มตาพึ่งพานำเชื้อเพลิงโบราณที่เรียกว่า "เชื้อเพลิงฟอสซิล" ไม่ว่าจะเป็นก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน ถ่านหิน ลิกไนต์ มาใช้เป็นวัตถุดิบผลิตกระแสไฟฟ้า

อย่างดีที่สุด ผู้บริหารโรงไฟฟ้าก็บอกกับผู้คนได้เพียงว่า ไฟฟ้าเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ

ไม่ว่ามันจะพ่นก๊าซพิษสู่อากาศ-ชั้นบรรยากาศ-สิ่งแวดล้อมมากเท่าไหร่ คนในชาตินั้นๆ ต้องรับชะตากรรมไป

ของแบบนี้จึงขึ้นอยู่ใน "วิสัยทัศน์" ผู้บริหารประเทศว่า ตกลงในอนาคตนั้นเราจะหาทางออกยังไงกันดีเรื่องพลังงาน?

จะค่อยๆ คิดเทคโนโลยีพลังงานสะอาดใหม่ๆ หรือจะใช้พลังงานสกปรกต่อไป?

ล่าสุด รัฐบาลกับภาคเอกชนในโปรตุเกส กำลังร่วมมือกันมองออกไปไกลๆ ให้พ้นจากกรอบการพึ่งพิงเชื้อเพลิงฟอสซิล ด้วยการเริ่มต้นทดลองโครงการก่อสร้าง "โรงผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์" ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

ปิเอโร ดาล มาโซ ผู้บริหารบริษัทพลังงานหมุนเวียน "คาตาเวนโต" ซึ่งรับผิดชอบโครงการนี้ เปิดเผยว่า

โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ดังกล่าวจะก่อสร้างขึ้นบนพื้นที่ 375 ไร่ในเขตอะเลเอนโญ ทางภาคใต้ของโปรตุเกส ซึ่งมีแดดดีเกือบทั้งปี

ตามแผนที่วางเอาไว้ จะติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ โซลาร์เซลล์ เกือบ 55,000 ชุด ผลิตไฟฟ้าได้ 11 เมกะวัตต์ เพียงพอสำหรับการจ่ายไฟป้อนบ้าน 8,000 หลังคาเรือน เมื่อเปิดใช้งานต้นปีหน้า

และช่วยลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศได้ปีละ 30,000 ตัว แม้เป็นตัวเลขไม่มากมาย แต่ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

จุดเด่นของโซลาร์เซลล์ที่ใช้ติดตั้งในครั้งนี้ก็คือ สร้างด้วยระบบ "เพาเวอร์แทร็กเกอร์" ทำให้แผงโซลลาร์เซลล์สามารถหมุนตามวิถีโคจรของดวงอาทิตย์เพื่อรับแสงแดดเต็มๆ ตั้งแต่เช้าจรดเย็น

ปิเอโร เชื่อมั่นว่าในอนาคต โลกจะต้องคิดค้นเทคโนโลยีเพื่อนำเอาพลังงานหมุนเวียน ได้แก่ ลม คลื่น แสงอาทิตย์ และน้ำ มาผสมผสานเข้าด้วยกัน เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตน้ำมันและใช้ทดแทนเชื้อเพลิงโบราณที่สร้างมลพิษอย่างมากมหาศาล!

Tuesday, June 06, 2006

ปีกติดไอพ่น-อาวุธใหม่รบพิเศษ

ต้องบอกว่า 'แบทแมน'มาเองเลยงานนี้

สิ่งที่เห็นในภาพ คือ ต้นแบบเครื่องร่อนหรือปีกติดไอพ่น รุ่นใหม่ล่าสุดของโลก ซึ่งอยู่ในขั้นตอนทดสอบ

พัฒนาโดยบริษัทอีเอสจี ประเทศเยอรมนี คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ช่วงปลายปี 2550

ในเบื้องต้นอีเอสจีตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะขายให้กองทัพทั่วโลก นำไปแจกจ่ายให้กับทหารหน่วยรบพิเศษ เพื่อใช้เป็นเหมือนกับร่มชูชีพไฮเทค บินแทรกซึมเข้าไปสู่เขตยึดครองของศัตรู

ปีกติดไอพ่น (Strap-On Jet Pack Flying Wing) ดังกล่าว เมื่อสวมใส่กับหลังแล้วจะมองดูคล้ายๆ กับปีกแบทแมน

ตัวเครื่องและปีกผลิตจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ น้ำหนักเบา มีคุณสมบัติในการหลบหลักการตรวจจับจากเรดาห์

ภายในติดตั้งเครื่องยนต์ไอพ่นขนาดเล็ก 2 เครื่อง เร่งทำความเร็วในอากาศได้ราว 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เมื่อทหารสวมหน้ากากออกซิเจนและสวมชุดปรับอุณหภูมิ (Thermal Suit) เรียบร้อยแล้ว สามารถกระโดดลงมาจากเครื่องบิน เช่น ซี130 ที่ระดับความสูงมากกว่า 200 กิโลเมตรเหนือพื้นดิน

ในช่วงที่กระโดดลงมาแบบฟรีฟอลล์นั้น ทหารจะใช้มือกดปุ่มบังคับทิศทางการบิน และสั่งกางร่มชูชีพที่ระดับ 1,220 เมตร

แฟรงก์ คาร์เรราส ผู้รับหน้าที่บินทดสอบ กล่าวว่า การมีปีกไอพ่นชนิดนี้ติดอยู่ที่แผ่นหลังให้ความรู้สึกราวกับกำลังขี่จักรยานยนต์ประเภทซุปเปอร์ไบก์เครื่องยนต์แรงๆ

บุคคลที่จะควบคุมปีกไอพ่นได้ต้องมีทักษะทั้งด้านการบินและการกระโดดร่มผสมผสานกัน ลูกค้าที่มองๆ ว่าจะซื้อปีกไอพ่นเข้าไปใช้งานในกองทัพขณะนี้มีหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ

ก็หวังว่ายอดขายปีกไฮเทครุ่นนี้จะไม่สูงมากเกินไปนัก

เพราะถ้าขายดิบขายดีเท่าไหร่นั่นยิ่งหมายความว่าโลกยังมีสงครามเกิดขึ้นหลายจุด ไม่รู้จักจบสิ้น!

โน้ตบุ๊ก100เหรียญ ทดลองใช้งานจริงแล้ว

ในที่สุดเครื่องคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก 100 เหรียญ รุ่นที่ใช้งานได้จริงก็คลอดออกมาแล้วจนได้ดังที่เห็นในภาพ

แม้ว่านับตั้งแต่ช่วงเปิดตัวเครื่องรุ่นต้นแบบในเดือนพ.ย. 2548 เป็นต้นมาจนถึงทุกวันนี้ จะถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

โดนหนึ่งในพวกปากตะไกรที่คอยทับถมโครงการโน้ตบุ๊ก 100 เหรียญ ก็คือ

นายบิล เกตส์ ประธานบริษัทไมโครซอฟท์และมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกนั่นเอง!

ผลการทดสอบใช้งานโน้ตบุ๊ก 100 เหรียญผ่านไปด้วยดี โดยใช้ระบบปฏิบัติการ (โอเอส) "ฟีโดรา ลินุกซ์" ซึ่งไม่เสียลิขสิทธิ์

ย้อนความจำกันอีกทีว่าโน้ตบุ๊กดังกล่าวเกิดขึ้นจากแนวคิดของ "นิโคลัส เนโกรปอนเต" ประธานห้องปฏิบัติการ "มีเดียแล็บ" สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเส็ตต์ สหรัฐอเมริกา (เอ็มไอที)

เนโกรปอนเตเห็นว่า ปัจจุบันนี้ "ช่องว่างดิจิตอล" หรือ โอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ของเด็กนักเรียนในชาติกำลังพัฒนาเริ่มถอยห่างจากเด็กในโลกพัฒนาแล้วมากขึ้นทุกที

ถ้าปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่

เนโกรปอนเตจึงตั้งธงขึ้นมาว่าจะผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทุนต่ำ

ที่มีราคาขายไม่เกินเครื่องละ 100 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4,000 บาทขึ้นมาให้จงได้

ในการที่จะกดต้นทุนให้ต่ำขนาดนั้น เบื้องต้นก็คือต้องผลิตโน้ตบุ๊กออกสู่ตลาดคราวละมากๆ

พร้อมกันนั้นก็ติดต่อขอให้รัฐบาลชาติกำลังพัฒนา (รวมถึงประเทศไทย) ช่วยอุดหนุนเหมาซื้อโน้ตบุ๊กไปแบบล็อตใหญ่ เพื่อนำไปแจกจ่ายให้เด็กนักเรียนแบ่งกันใช้

อย่างไรก็ตาม บิล เกตส์ ออกมาวิจารณ์ว่า โน้ตบุ๊ก 100 เหรียญนี้คงใช้งานจริงๆ ไม่ได้ เพราะมีฟังก์ชั่นการทำงานด้วยกว่าคอมพิวเตอร์พีซีทั่วไปอย่างมาก

ทั้งยังเชื่อมต่อกับอินเตอร์ความเร็วสูงไม่ได้ และการที่ผู้ใช้โน้ตบุ๊กรุ่นนี้ต้องใช้มือหมุนปั่นไฟเข้าตัวเครื่องก็เป็นสิ่งไร้สาระเอามากๆ

คาดว่าโน้ตบุ๊ก 100 เหรียญจะพร้อมออกสู่ตลาดในปี 2550

ถึงวันนั้นคงต้องมาพิสูจน์คุณภาพกันอีกทีว่า บิล เกตส์ เป็นพวกมือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำหรือไม่!?!

"รถเมล์ไฮบริดจ์" ช่วย"ซานฟราน"ลดน้ำมัน

ปัจจุบัน "เดมเลอร์ไครสเลอร์" ผู้ผลิตรถยนต์หลายยี่ห้อ รวมถึงเมอร์เซเดซเบนซ์ ก็เป็นค่ายรถยนต์ระดับโลกอีกค่ายหนึ่ง

ที่พยายามก้าวขึ้นมาครองตลาดรถยนต์ "ไฮบริดจ์" หรือ รถยนต์ใช้เครื่องยนต์ลูกผสมระหว่างไฟฟ้า กับ น้ำมันเชื้อเพลิง

ขณะที่ค่ายอื่น เช่น "โตโยต้า" มุ่งไปในทิศทางผลิตรถยนต์ไฮบริดจ์ส่วนบุคคลอย่าง "พริอุส"

ฝ่ายเดมเลอร์ฯ ก็เน้นทางด้านการผลิตรถไฮบริดจ์เพื่อการโดยสารสาธารณะ

พูดง่ายๆ ก็คือ ผลิตรถเมล์ที่สามารถใช้พลังงานไฟฟ้ามาแบ่งเบาภาระการใช้น้ำมันดีเซลหรือไบโอ-ดีเซล และลดปริมาณมลพิษจากไอเสียน้ำมันนั่นเอง

เมื่อสัปดาห์ก่อน นายกเทศมนตรีนครซาน ฟรานซิสโก เมืองใหญ่อันดับ 4 ในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐ ซึ่งมีประชากรราวๆ 1 ล้านคน แถลงข่าวแผนการร่วมมือกับทางเดมเลอร์ฯ เพื่อสั่งซื้อรถโดยสารไฮบริดจ์ 142 คันมาวิ่งรับ-ส่งประชากรในพื้นที่

แอนเดรียส เรนช์เชอร์ คณะกรรมการบริการเดมเลอร์ กล่าวว่า

รถโดยสารประจำทาง เหมาะสมมากสำหรับผลิตออกมาใช้ในลักษณะของรถไฮบริดจ์

สาเหตุเพราะรถไฮบริดจ์ในตลาดทุกวันนี้ มีระบบประจุกระแสไฟที่เรียกว่า

"รีเจเนเรทีฟ เบรกกิ้ง"

โดยเมื่อรถเบรกแต่ละครั้งจะเท่ากับเป็นการประจุ-ชาร์จกระแสไฟฟ้าบางส่วนกลับมาป้อนสู่เครื่องยนต์

ในส่วนของรถส่วนบุคคลไม่เหมาะที่จะใช้ระบบนี้เพราะมักวิ่งยาวๆ ไม่ค่อยหยุด

ผิดกับรถเมล์ ซึ่งต้องขับๆ หยุดๆ จอดรับผู้โดยสารไปทุกป้าย

นอกจากนั้น รถเมล์วิ่งทำระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่นัก ทำให้ไม่ต้องกังวลกับปัญหาการหาจุดประจุไฟฟ้าใหม่

ในอนาคตถ้าพัฒนาตัวเครื่องยนต์รถไฮบริดจ์ให้ใช้พลังงาน "ไฮโดรเจน" ได้ด้วยก็จะยิ่งสะดวกมากขึ้น เนื่องจากเส้นทางการวิ่งของรถเมล์มีรัศมีจำกัด ช่วยให้การวางแผนติดตั้งสถานีจ่ายไฮโดรเจนทำได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดสำคัญของรถเมล์ไฮบริดจ์ของเดมเลอร์ก็คือ ราคาต่อคันในขณะนี้แพงลิบลิ่วสุดกู่

คันหนึ่งตก 19 ล้านบาท!

ถ้าดูแลบำรุงรักษารถอย่างดีแน่นอนว่าในระยะยาวถ้าราคาน้ำมันยังวิกฤตแบบนี้ต่อไปน่าจะคุ้มทุน

แต่ถ้าปล่อยให้ขับแบบทิ้งๆ ขว้างๆ โอกาสที่หน่วยงานขนส่งมวลชนที่สั่งซื้อไปจะสร้างหนี้มหาศาลก็มีสูงเช่นกัน!

โถปัสสาวะพูดได้ ช่วยลดภัย"เมาแล้วขับ"

ปัจจุบัน ในหลายๆ ประเทศทั่วโลก โทษจากคดีอาญา "เมาแล้วขับ" หรือที่ฝรั่งเรียกว่า "DWI" สูงถึงขั้น "จำคุก" กันหมดแล้ว

อย่างในนครนิวยอร์ก รัฐนิวยอร์ก ซึ่งเป็นสุดยอดเมืองเศรษฐกิจทุนนิยมของสหรัฐอเมริกานั้น

ถึงกับมีการตั้งสำนักงานทนายความเพื่อรับว่าความคดีเมาแล้วขับโดยเฉพาะให้กับพวกดารา คนดัง นักธุรกิจกระเป๋าหนักทั้งหลาย

อย่างไรก็ตาม การใช้กฎหมายป้องปรามการกระทำผิดคดีเมาแล้วขับเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ

เพราะต้องปลุก "จิตสำนึก" ขึ้นมาด้วยจึงจะเป็นการป้องกันปัญหาที่แท้จริง!

หน่วยงานตำรวจเขตนัสโซ เคาน์ตี้ ของนิวยอร์ก กำลังนำเทคโนโลยีชนิดหนึ่งมาช่วยในการรณรงค์กระตุ้นให้ "ขี้เมา" ตามผับ-บาร์ ต่างๆ เริ่มตระหนักถึงพิษภัยจากการดื่มและบันบะบันยังการดื่มแอลกอฮอล์เอาไว้บ้าง

นั่นคือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ "วิซมาร์ก ยูรินัล คอมมิวนิเคเตอร์" ผลิตโดยบริษัทวิซมาร์ก สหรัฐอเมริกา (www.wizmark.com)

อุปกรณ์ชนิดนี้มีลักษณะเป็นกล่องอิเล็กทรอนิกส์ทรงกลม ห่อหุ้มด้วยพลาสติกกันน้ำ

ภายในติดตั้งตัวเซ็นเซอร์เอาไว้ เวลาใช้ให้นำไปวางภายใน "โถปัสสาวะ" ของคุณผู้ชาย

พอตัวเซ็นเซอร์จับได้ว่ามีแรงจากน้ำมากระทบก็จะส่องแสงกระพริบ พร้อมกับเปิดเสียงที่บันทึกไว้ในรูปแบบไฟล์เอ็มพี-3 พูดร้องออกมาทางลำโพง ว่า

"คุณครับๆ คิดอยากดื่มอีก 2-3 แก้วก่อนกลับใช่ไหมล่ะ ถ้างั้นฟังผมก่อน ถ้าคุณคิดว่าหยุดดื่มไม่ได้ยังไงก็ควรจะเรียกแท็กซี่ หรือขอให้เพื่อนที่ยังไม่เมาขับรถไปส่ง เพราะมันปลอดภัยต่อชีวิตคุณ แล้วก็เสียเงินน้อยกว่าจะต้องจ่ายค่าปรับเมาแล้วขับเยอะเลย!"

แรกเริ่มเดิมทีอุปกรณ์ของวิซมาร์กรุ่นนี้ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้เป็นสื่อโฆษณาสินค้าตามผับบาร์ แต่ตำรวจและหน่วยงานรณรงค์เมาไม่ขับในเขตนัสโซ เห็นว่าน่าจะนำมาประยุกต์ใช้เป็นสื่อรณรงค์เมาไม่ขับ จึงติดต่อขอซื้อมาแจกจ่ายให้กับผับในเขตนี้นำไปใช้ฟรี

แนวคิดดีครับงานนี้ แต่ถ้าเจอพวกเมาจนเห็นแมวเป็นสุนัขนี่ไม่รู้จะฟังรู้เรื่องรึเปล่า!

อนาคตของอินเตอร์เน็ต-จากมุมมองที่ประชุม www2006

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญด้านเวิร์ลด์ ไวด์ เว็บ (www.) หรือผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตจากทั่วโลก เดินทางไปยังนครเอดินบะระ ประเทศอังกฤษ เพื่อเข้าร่วมประชุม www2006 ภายใต้หัวข้อคลื่นลูกใหม่ของเว็บ

เป้าหมายการประชุมก็เพื่อประเมินอนาคตของอินเตอร์เน็ตว่าจะก้าวไปสู่ทิศทางใด

ไนเจล แชดโบลต์ ประธานที่ประชุมและประธานสมาคมคอมพิวเตอร์อังกฤษ สรุปข้อใหญ่ใจความจากงานสัมมนาดังกล่าว ไว้ว่าประเด็นหลักๆ ที่มีการหยิบยกมาพูดคุยมีอยู่ 3-4 เรื่องด้วยกัน

เรื่องแรก, เห็นตรงกันกับที่ เดวิด บราวน์ ประธานบริษัทโมโตโรลา ประเทศอังกฤษ แสดงความเชื่อมั่น ว่า ความหมายของ โทรศัพท์มือถือ ที่เราเข้าใจกันในทุกวันนี้จะหายไปในอนาคตอันใกล้ ประสิทธิภาพในการติดต่อสื่อสารของมือถือจะกลายเป็นเรื่องรอง แต่ส่วนสำคัญที่จะเข้ามาแทนที่ก็คือ

ความสามารถในการทำหน้าที่เป็นคอมพิวเตอร์พกพาเคลื่อนที่ ซึ่งเชื่อมต่อสัญญาณไร้สายเข้ากับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง(อินเตอร์เน็ต บรอดแบนด์)

คาดว่าอีกไม่กี่ปีจากนี้ ราคาของมือถือที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับโลกอินเตอร์เน็ตได้ จะมีราคาไม่เกินเครื่องละ 15 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 570 บาท ส่งผลให้ประชากรโลกหลายพันล้านคนเข้าถึงเทคโนโลยีเวิร์ลด์ ไวด์ เว็บ ได้ทุกที่ทุกเวลา

ที่ประชุมเดียวกันนี้ยังพูดถึงกระแสการเติบโตของ web 2.0 และ semantic web อีกด้วย

สู่ยุค Web 2.0

Web 2.0 เป็นคำเรียกย่อๆ ของกระแสเปลี่ยนผ่านจากรูปแบบการใช้งานอินเตอร์เน็ตแบบเดิมๆ ใน ยุคที่ 1 ซึ่งหมายถึงการที่ฝ่ายผู้ผลิตคอนเทนต์ (เว็บไซต์) กับ ฝ่ายคนที่เข้ามาค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ แยกขาดออกจากกัน

แต่เมื่อเราเข้าสู่การใช้งาน อินเตอร์เน็ตยุคที่ 2 หรือ Web 2.0 นั่นหมายความว่า ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตทุกคน ไม่ว่าจะฝ่ายใดก็ตาม ต่างเข้ามาร่วมกันทำหน้าที่แบ่งปัน-แลกเปลี่ยน-เชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารถึงกันและกัน

ถ้าจะอธิบายความหมายของ Web 2.0 ให้มองเห็นภาพ ก็คือ กระแสความนิยมของ บล็อกส่วนบุคคล ที่เพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ และสร้างเครือข่ายโยงใยกันไปทั่วโลกในหมู่คนที่สนใจในเรื่องใกล้ๆ กัน จนกลายเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ขนาดยักษ์ หรือเว็บไซต์มาแรงอย่าง wikipedia.org สารานุกรมออนไลน์ที่เปิดเสรีให้คนทั่วโลกเข้าไปช่วยกันปรับปรุงข้อมูล

นอกจากนั้นเว็บไซต์ประเภทแชร์และจัดหมวดหมู่รูปภาพอย่าง flickr.com รวมถึงเทคโนโลยีกระจายเสียงออนไลน์พ็อดคาสต์ ก็เป็นหนึ่งในปรากฎการณ์ Web 2.0 เช่นกัน

ที่ประชุม www2006 เชื่อว่าสิ่งสำคัญที่จะเกิดขึ้นในยุค Web 2.0 คือ ความรุ่งเรืองของวิทยาศาสตร์อิเล็กทรอนิกส์ (e-science) ซึ่งหมายความว่า งานวิจัยในอนาคตจะสำเร็จลุล่วง ได้ผลลัพธ์ดีและเร็วกว่าในปัจจุบัน เพราะนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลกสามารถเข้ามาทำงานวิจัยร่วมกันผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลสาธารณะที่เผยแพร่อยู่ในอินเตอร์เน็ต

Semantic Web : เว็บแสนรู้

อีกประเด็นที่มีการหยิบยกมาพูดกันในวงประชุมผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต www2006 ได้แก่ เทคโนโลยี Semantic Web (ซีแมนทิค เว็บ) หรือ เว็บไซต์ที่มีความหมาย

เทคโนโลยีนี้ค่อยๆ พัฒนากันมาได้ประมาณ 5-6 ปีแล้ว แต่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่นัก

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม www2006 เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ปฏิวัติรูปแบบการใช้งานโครงข่ายอินเตอร์เน็ตในอนาคต

ในที่นี้เราอาจเรียก Semantic Web เป็นภาษาแบบสั้นๆ เข้าใจง่าย ว่า เว็บไซต์ฉลาด

สาเหตุเพราะเว็บประเภทนี้จะมีการเขียนและฝังชุดคำสั่ง (tags) เอาไว้บนเว็บ ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้ คอมพิวเตอร์ สามารถเข้าใจข้อมูลที่ปรากฎอยู่ในเว็บนั้นๆ ว่าพูดถึงอะไรอยู่

ยกตัวอย่างเช่น การใช้เว็บในปัจจุบัน..คนจะต้องเป็นคนสั่งให้คอมพิวเตอร์ท่องไปตามเว็บต่างๆ ตัวคอมพิวเตอร์เองจะเที่ยวไปสืบค้นข้อมูลด้วยตัวเองไม่ได้ แต่สำหรับเว็บที่พัฒนาไปสู่เว็บฉลาดนั้น เพียงแค่เรากรอกคำสั่งลงไปเพียงครั้งเดียว

เช่น ถ้าต้องการค้นหาข้อมูลรถ รุ่น "เอ" เว็บฉลาด ก็จะส่งข้อมูลไปให้คอมพิวเตอร์รับรู้ทันที ว่า ขณะนี้ผู้ใช้กำลังต้องการหาข้อมูลเรื่องรถรุ่นเอ

จากนั้นคอมพิวเตอร์ก็จะค้นหาเว็บฉลาดที่อยู่ในหมวดใกล้เคียงกันกับรถรุ่นดังกล่าวมากที่สุด ขึ้นมาให้ผู้ใช้เลือกดูโดยอัตโนมัติ

ไม่ว่าจะเป็นเว็บประวัติรถรุ่นเอ รวมถึงเว็บเต๊นท์ขายรถ-เว็บอู่ซ่อมรถ-เว็บร้านขายอะไหล่รถรุ่นเอ ที่มีที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน ฯลฯ

การมาถึงของเว็บฉลาด จะทำให้บทบาทในการจัดระเบียบข้อมูลในอินเตอร์เน็ตของเว็บไซต์เพื่อการค้นหา (เสิร์ชเอนจิ้น) ยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย เช่น ยาฮู! และ กูเกิ้ล ลดลง ซึ่งหมายความว่า รายได้ ของบรรดาเสิร์ชเอนจิ้นทั่วโลกก็จะลดลงเช่นกันครับ!

Internet Fast Lane ทางด่วนอินเตอร์เน็ต

บริษัทโทรศัพท์-สื่อสารโทรคมนาคมในสหรัฐอเมริกา มองว่า

"คนมีเงิน" พร้อมจะจ่ายเพื่อสิ่งที่ดีกว่าเสมอ

นอกจากนั้นก็ยังเห็นว่า ทุกวันนี้บริษัทโทรศัพท์เสียผลประโยชน์จากธุรกิจอินเตอร์เน็ตไปมากโข

เพราะบริษัทพวกตนอย่างมากก็ได้แค่ค่าหมุนโมเด็มไม่กี่สตางค์

แต่บริษัทผู้ให้บริการเว็บไซต์ต่างๆ กับคว้าชิ้นพุงปลารับประทานกันเต็มอิ่ม

ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ถ้าปราศจาก "สายโทรศัพท์" ไม่ว่าจะเป็นสายทองแดง หรือ สายเคเบิลไฟเบอร์ออพติก ที่บริษัทโทรศัพท์ลงทุนวางเครือข่ายเอาไว้

บรรดาเว็บไซต์ทั้งหลายก็ไม่มีปัญหาทำมาหากินแน่ๆ

เพราะขาด "สื่อกลาง" ในการส่งข้อมูล!

มาวันนี้กลุ่มทุนโทรศัพท์ กับ ทุนสื่อสารใหญ่ๆ ในสหรัฐ เช่น เวริซอน เบลล์เซาธ์ เอทีแอนด์ที และไทม์วอร์เนอร์

จึงเริ่มผนึกกำลังกันล็อบบี้-กดดัน-หว่านล้อมให้ "รัฐสภา" ขัดขวางความพยายามของนักการเมืองสหรัฐบางคนที่กำลังเสนอร่างกฎหมายห้ามไม่ให้มีการเปิดบริการ "อินเตอร์เน็ต 2 ระดับ" (2 tiered internet) ตามที่กลุ่มทุนโทรศัพท์ต้องการ

ตามแผนการตลาดที่ทุนกลุ่มนี้กำหนดไว้จะแบ่งเกรดการใช้อินเตอร์เน็ตเป็น 2 กลุ่ม

กลุ่มแรก คือ ใช้บริการฟรีเหมือนกันทุกวันนี้

และกลุ่มที่ 2 นั่นคือ เสียเงินค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมให้บริษัทโทรศัพท์กับเว็บไซต์พันธมิตร แต่ลูกค้าจะได้รับบริการที่ดีกว่า เนื่องจากแบนด์วิธ หรือ ช่องสัญญาณของเว็บไซต์กลุ่มนี้จะสูงกว่าแบบแรก

ส่งผลให้บริการดาวน์โหลด หรือ บริการดูหนัง ฟังเพลง ฯลฯ สำหรับลูกค้ากลุ่มที่ 2 มีความรวดเร็วทันใจ ไม่ต้องรอนาน เปรียบง่ายๆ เหมือนกับการขับรถยนต์ขึ้นทางด่วน ย่อมเร็วกว่าทางธรรมดา

แนวคิด "ทางด่วนอินเตอร์เน็ต" ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนต่อสู้ในรัฐสภาสหรัฐ ถ้าผ่านมาได้ก็ต้องทดสอบตลาดกันอีกทีตอนเปิดใช้งาน