Thursday, April 27, 2006

กำแพงไซเบอร์

ประมาณ 2-3 ปีก่อน มีโอกาสไปร่วมเสวนาในชั้นเรียนอบรมความรู้เกี่ยวกับประเทศจีนอยู่ที่วิทยาลัยการต่างประเทศ กรุงปักกิ่ง

ด้วยความที่เคยสงสัยว่ารัฐบาลจีน "เซ็นเซอร์" กลั่นกรองข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับเรื่องการเมืองเข้มข้นมากแค่ไหน ก็เลยลองใช้คอมพิวเตอร์ที่ชั้น 1 ของหอพักวิทยาลัยสืบค้นข้อมูลหัวข้อ "เอกราชไต้หวัน" ดู

ผลปรากฎว่าไม่ขึ้นผลลัพธ์ใดๆ ออกมาจริงๆ บางเว็บที่ขึ้นมากระปริบกระปรอยก็กดเชื่อมต่อไปยังลิงก์นั้นๆ ไม่ได้

ผ่านมาถึงปัจุบัน "สื่อสหรัฐอเมริกา" จับประเด็นการสั่งเซ็นเซอร์ข้อมูลอินเตอร์เน็ตของทางการจีนมาโจมตีอย่างต่อเนื่อง

แต่ในทางปฏิบัตินั้นทำอะไรไม่ได้ เพราะผู้ให้บริการเว็บไซต์สืบค้นใหญ่ๆ เช่น "ยาฮู!" กับ "กูเกิ้ล" ซึ่งเป็นบริษัทสหรัฐเองนั่นแหละที่ยินยอมพร้อมใจ "เซ็นเซอร์ตัวเอง" เพื่อให้ได้รับสิทธิเข้าไปทำมาหากินใน "โลกไซเบอร์" ของจีน!

เครือข่ายผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตของจีน ต้องผ่านระบบการกลั่นกรองข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐทั้งหมด

จนมีเสียงล้อเลียนว่า นอกจากเมืองจีนจะมี "กำแพงเมืองจีน" อันโด่งดังแล้ว ก็ยังมี "กำแพงไซเบอร์" เพิ่มขึ้นมาอีกด้วย

ล่าสุดที่ "เสิ่นเจิ้น" เมืองหนึ่งของจีนที่มีอัตราการใช้อินเตอร์เน็ตสูง หน่วยงานตำรวจเพิ่งริเริ่มโครงการทำ "สงครามจิตวิทยา" กับผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ด้วยการสร้างตัวการ์ตูนตำรวจชาย-หญิง "ฉิงฉิง กับ "ชาช่า" ขึ้นมาโพสต์หราอยู่บนหน้าของ "เว็บท่า" หรือเว็บไซต์ที่เป็นศูนย์กลางให้บริการข้อมูลและการบริการต่างๆ ซึ่งชาวเสิ่นเจิ้นนิยมเข้าไปเล่น

โดยต้องการสื่อความหมายว่า "ตำรวจเฝ้าดูพฤติกรรมการท่องเว็บไซต์ของคุณอยู่อย่างใกล้ชิด ดังนั้นอย่าริทำอะไรนอกลู่นอกทาง!"

อย่างไรก็ตาม แม้ทางการจีนจะพยายามปิดการไล่บ่าของข้อมูลข่าวสารในอินเตอร์เน็ตขนาดไหนก็ใช่ว่าจะไม่มีแรงต่อต้าน

เพราะทุกวันนี้หนุ่มสาวชาวจีนจำนวนไม่น้อย หันไปใช้ "เว็บบอร์ด" กับ "บล็อก" เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนความเห็นด้านสถานการณ์บ้านเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเชื่อได้เลยว่ารัฐบาลปักกิ่งต้องหาแนวทางใหม่ๆ มากำราบอย่างแน่นอน!

Tuesday, April 25, 2006

เครื่องบินแสงอาทิตย์ บินเดี่ยวรอบโลกปี 52

ในทำเนียบนักผจญภัยระดับโลก ต้องมีชื่อชาวสวิสคนนี้รวมอยู่ด้วย

เบอร์ทรันด์ พิคคาร์ด ผู้สร้างประวัติศาสตร์ เป็นมนุษย์ 1 ใน 2 คนแรกของโลกที่บินเดี่ยวรอบโลกด้วย บอลลูน เมื่อปีพ.ศ.2542 ชนิด นัน-สต็อป โดยไม่มีการหยุดพัก เวลาผ่านไป 10 ปี ในปีพ.ศ.2552 พิคคาร์ดวางแผงจะทำสถิติโลกครั้งใหม่ ในฐานะคนๆ แรกของโลกที่ใช้ เครื่องบินพลังงานแสงอาทิตย์ บินเดี่ยวรอบโลกโดยไม่หยุดพักเช่นเดียวกัน

ภายหลังจากพิคคาร์ดประกาศแผนการผจญภัยครั้งใหม่ ทั้ง องค์การอวกาศยุโรป (อีเอสเอ) กับ สถาบันเทคโนโลยีสวิตเซอร์แลนด์ (อีพีเอฟแอล) ก็เข้ามาช่วยสนับสนุนโครงการทันที

ปัจจุบัน ทีมงานกำลังพัฒนาเครื่องบินพลังแสงอาทิตย์ ซึ่งไม่ปล่อยมลพิษทำลายสภาพแวดล้อม และจะใช้ขึ้นบินในปี 2552

นั่นคือ เครื่องบิน 1 ที่นั่งรุ่น โซลาร์ อิมพัลซ์ ที่มีหน้าตาเหมือนเครื่องร่อน และมีระยะวิงสแปน หรือ ความยาวของปีกถึง 70 เมตร ซึ่งจัดว่ายาวกว่าปีกของเครื่องบินโบอิ้ง 747

เหตุที่ปีกต้องยาวขนาดนั้นก็เพราะใช้เป็นที่ติดตั้งแผงแปลงพลังงานแสงอาทิตน์เป็นไฟฟ้า (โซลาร์เซลล์) จำนวนมาก

นอกจากนั้น วัสดุในการสร้าง โซลาร์ อิมพัลซ์ จะพัฒนาขึ้นมาจากเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ทำให้ตัวเครื่องมีน้ำหนักเบา เนื่องจากต้องบินที่ระดับความสูงเหนือก้อนเมฆขึ้นไปอีก 10,000-11,000 ฟุต เพื่อรับแสงอาทิตย์มากที่สุด

พิคคาร์ด กล่าวว่า ในช่วงบินเวลากลางวันนั้นตัวเครื่องจะชาร์จกระแสไฟฟ้าบางส่วนเพื่อเก็บไว้บินต่อเนื่องในเวลากลางคืน

ส่วนวัตถุประสงค์ของโครงการนี้ก็เพื่อปลุกกระแสการพัฒนาเทคโนโลยีการบินแบบใหม่ ซึ่งนำเอา พลังงานจากธรรมชาติ มาใช้ประโยชน์สูงสุดเพื่อเตรียมรับมือกับภาวะขาดแคลนน้ำมันในอนาคต

ทฤษฎีทำนาย สึนามิ จากระดับชายฝั่งทรุดตัว

เหตุแผ่นดินไหว ยังคงเป็นภัยธรรมชาติที่วิทยาการในปัจจุบันพยากรณ์ล่วงหน้าไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆ

แต่ก็ยังโชคดีที่ในกรณีการเกิดแผ่นดินไหวใต้ทะเลแล้วก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ สึนามิ นั้น

นักวิทยาศาสตร์สามารถคำนวณเวลาที่คลื่นยักษ์จะซัดเข้ามายังชายฝั่งได้หลายสิบนาทีเลยทีเดียว

ฉะนั้นหากมีการจัดการ การวางแผนที่ดี ความสูญเสียจากความรุนแรงของคลื่นก็ย่อมลดน้อยลง

เมื่อช่วงกลางปี "เจอเร ลิปส์" ศาสตราจารย์ชีววิทยาประจำมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ พร้อมกับเพื่อนนักวิจัยอีกหลายคนจากมหาวิทยาลัยฮาลิแฟกซ์และศูนย์สำรวจธรณีวิทยาอะลาสกา เคยเสนอทฤษฎีพยากรณ์การเกิดสึนามิเอาไว้ในวารสารสมาคมธรณีวิทยาสหรัฐ แต่ก็ออกตัวไว้ด้วยว่ายังเป็นสมมติฐาน และต้องรอให้นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ พิสูจน์ความถูกต้องด้วย

ศ.ลิปส์ ศึกษาข้อมูลการเกิดแผ่นดินไหว 9.2 ริกเตอร์นอกชายฝั่งอะลาสกา ซึ่งทำให้เกิดสึนามิซัดถล่มชุมชนตามแนวชายฝั่งแถบ "Anchorage" จนราบเป็นหน้ากลองเมื่อปี 1964 (พ.ศ.2507) และพบว่า

ในช่วงระยะเวลา 5-15 ปี ก่อนหน้าจะเกิดแผ่นดินไหวดังกล่าวนั้น พื้นที่ตามแนวชายฝั่งของ Anchorage จะค่อยๆ "ทรุดตัว" ลงไปต่ำกว่าเดิมประมาณ 1 ฟุต ซึ่งเป็นอัตราการทรุดตัวของแผ่นดินที่เล็กน้อยมากจนคนในพื้นที่ไม่มีทางสังเกตความเปลี่ยนแปลง

แต่ผลการขุดเจาะเก็บตัวอย่าง "จุลชีพ" ตามแนวชายฝั่งจะพบว่า การทรุดตัวทำให้ "จุลชีพน้ำจืด" สูญหายไปจากแนวชายฝั่ง

เชื่อว่า สาเหตุของการทรุดตัวเกิดจากความผิดปกติใน "เขตมุดตัวของเปลือกโลก" ภายหลังจาก "แผ่นทวีป" ทรุดตัวต่ำลงเนื่องจากถูก "แผ่นมหาสมุทร" (แผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทร) ดันและดึง

ลักษณะการทรุดตัวที่ว่านี้เอง คือ สัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าว่าในอนาคตพื้นที่ใต้ทะเลหรือมหาสมุทรนอกชายฝั่งดังกล่าวจะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้นภายในเวลาไม่กี่ปีข้างหน้านับตั้งแต่จุดที่ชายฝั่งเริ่มทรุดตัวถึงระดับ 1 ฟุต

ลิปส์แนะนำว่า ทางการของประเทศที่ตั้งอยู่ใน "เขตมุดตัวของเปลือกโลก" ควรติดตั้งเครื่องวัดระดับความลาดเอียงของพื้นที่ตามแนวชายฝั่งเพื่อดูว่าแผ่นดินทรุดตัวหรือไม่ ซึ่งถ้าทรุดจริงก็อาจใช้เป็นหนึ่งในสัญญาณเตรียมความพร้อมรับมือภัยสึนามิในอนาคตได้...

แต่ถึงสึนามิจะไม่เกิดก็ไม่เป็นไร เพราะดีกว่าวัวหายแล้วค่อยล้อมคอก!

"ซีไอเอ"ร่วมลงทุน ระบบผลิตไฟฟ้าสีเขียว

"พลังงาน" นั้นจัดเป็นอาวุธและรากฐานความมั่นคงของประเทศ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุควิกฤตพลังงานในขณะนี้ แต่ละประเทศต้องเร่งหาพลังงานใหม่ๆ มาใช้กันจ้าละหวั่น

พลังงานหมุนเวียนจากธรรมชาติ หรือ "พลังงานสีเขียว" ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม มักถูกหยิบมาพูดถึงทุกครั้งที่เกิดวิกฤตพลังงาน

ล่าสุดไม่กี่วันก่อนนี่เอง สำนักข่าวกรองสหรัฐ (ซีไอเอ) ก็กระโดดมาร่วมวงพัฒนาพลังงานธรรมชาติ

ภายหลังจากซีไอเอจัดตั้งบริษัทลูก "อิน-คิว-เทล" ขึ้นมาเพื่อส่งเข้าไปร่วมทุนกับบริษัทพัฒนาพลังงานทางเลือกขนาดเล็กที่ชื่อ "สกายบิลต์ พาวเวอร์ อิงก์" ในรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งก่อตั้งมาเพียง 5-6 ปี แต่มี "อาวุธลับ" ที่ไปเตะตาซีไอเอเข้าให้อย่างจัง

นั่นก็คือ ชุดผลิตกระแสไฟฟ้าสำเร็จรูป "โมบาย พาวเวอร์ สเตชั่น" (เอ็มพีเอส) ซึ่งใช้ "แสงอาทิตย์" กับ "กระแสลม" จากธรรมชาติเป็นวัตถุดิบในการปั่นกระแสไฟฟ้า

"เดวิด มัชฮาว" ผู้บริหารสกายบิลต์ บอกว่า ชุดเอ็มพีเอสเป็นอุปกรณ์ปั่นไฟฟ้าแบบ "พลัก แอนด์ เพลย์" หมายความว่าระบบการทำงานทุกอย่างติดตั้งเสร็จสมบูรณ์มาแล้วในตัว

เมื่อขนส่งมาถึงที่แล้ว ใช้คนเพียง 2 คน ก็สามารถติดตั้งและเปิดเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้ด้วยตัวเองภายในไม่กี่ชั่วโมง

ส่วนประกอบหลักๆ ของชุดเอ็มพีเอส ประกอบด้วย ตู้คอนเทนเนอร์ขนาดเล็ก (ขนส่งได้ทั้งทางเรือ ทางบก และติดร่มชูชีพทิ้งลงมาจากเครื่องบิน), คอมพิวเตอร์, แผงโซลาร์เซลล์รับแสงอาทิตย์, กังหันเทอร์ไบน์ปั่นไฟ และชุดแบตเตอรี่จ่ายไฟสำรอง

ผลการทดสอบเบื้องต้นพบว่า เอ็มพีเอสปั่นไฟได้สูงกว่า 150 กิโลวัตต์ ถือว่าเพียงพอสำหรับจ่ายไฟฟ้าให้กับฐานปฏิบัติงานของทหาร ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย โรงพยาบาลสนาม สถานีตำรวจ สถานีดับเพลิง และเสารับส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือ

บ.สกายบิลต์เชื่อว่า เมื่อได้เงินสนับสนุนจากซีไอเอ จะช่วยให้แผนพัฒนาระบบเอ็มพีเอสสำหรับประชาชนทั่วไปประสบผลสำเร็จเร็วขึ้น เพื่อช่วยเปิดทางเลือกใหม่ๆ ในการหาพลังงานทางเลือกมากใช้ในชีวิตประจำวัน

สร้างเว็บไซต์".xxx" คุมสื่อลามกออนไลน์

แผนการจัดระเบียบ "สื่อลามกออนไลน์" หรือ "เว็บไซต์ลามกอนาจาร" ในระดับโลกนั้นมีคนคิดจะทำนะครับ

เพียงแต่การดำเนินเรื่องขณะนี้ยังค้างเติ่งอยู่ในมือ "19 อรหันต์ ICANN" ซึ่งถูกควบคุมโดยกระทรวงพาณิชย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา อยู่อีกชั้นหนึ่ง

อย่างที่ทราบๆ กันว่า กระทรวงกลาโหมกับสถาบันอุดมศึกษาสหรัฐเป็นผู้วางรากฐานระบบอินเตอร์เน็ต

ดังนั้น สหรัฐจึงถือว่าตนเองเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเครือข่ายโลกาภิวัตน์ออนไลน์อันทรงอานุภาพประเภทนี้

ในปี 2541 รัฐบาลสหรัฐได้จัดตั้งองค์กร "Internet Corporation for Assignes Names and Numbers" ที่เรียกสั้นๆ ว่า "ICANN" ขึ้นมารับผิดชอบดูแลการแจกจ่ายชื่อโดเมนและที่อยู่เว็บไซต์อินเตอร์เน็ต รวมถึงจัดทำฐานข้อมูลของสื่อออนไลน์ทั่วโลก

การได้มาซึ่งนามสกุล .com, .net ฯลฯ ของเว็บไซต์ทั้งหลายก็มาจากการเห็นชอบขององค์กร "ICANN" ซึ่งมีกรรมการระดับสูง 19 คนคอยกำกับดูแล

ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีแนวคิดจัดระเบียบเว็บไซต์ลามกให้เข้าไปอยู่ในหมวดหมู่เดียวกับภายใต้นามสกุล ".xxx" (ดอท ทริปเปิ้ลเอ็กซ์)

โดยบริษัทที่เป็นตัวตั้งตัวตีนำเสนอแนวคิดดังกล่าวต่อ "ICANN" ก็คือ "ไอซีเอ็ม รีจิสตรี้ อิงก์" ของสหรัฐ ซึ่งเตรียมการขอเหมาสัมปทานเว็บไซต์ ".xxx" จาก "ICANN" มาบริหารงานเอง

เพราะทางไอซีเอ็ม รีจิสตรี้ อิงก์ มีความเชื่อมั่นว่าการจัดระเบียบเว็บลามกเข้ามาอยู่ในกลุ่มเดียวกันจะช่วยควบคุมอุตสาหกรรม "สื่อลามกออนไลน์" ที่มีมูลค่าสูงถึง 4.8 แสนล้านบาทจากทั่วโลกให้อยู่ในกฎระเบียบ และลงโทษกันอย่างจริงจัง

ไม่ใช่ใครนึกอยากทำอะไรก็ได้โดยไม่สนใจปัญหา-ผลกระทบด้านศีลธรรมและคดีอาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้นตามมา

อย่างไรก็ตาม "ICANN" ใช้เวลาพิจารณาเรื่องการออกเว็บ ".xxx" มาหลายวาระแล้ว แต่ยังเดินหน้าไม่ถึงไหน เพราะถูกแรงต้านจากกลุ่มต่อต้านเว็บไซต์ลามก ซึ่งมองว่าการเผยแพร่เว็บ ".xxx" จะยิ่งสร้างความชอบธรรมให้ธุรกิจทำลายสังคมเหล่านี้

แนวคิดจัดตั้งเว็บไซต์ลามกอนาจารทั้งหมดให้เข้าไปอยู่ในหมวดหมู่ ".xxx" เพื่อจะได้จัดระเบียบง่ายขึ้นนั้นเริ่มเป็นจริงเป็นจังในสหรัฐอเมริกาช่วงปี 2544

โดย 2 หน่วยงานที่รับลูกพิจารณาเรื่องนี้ ได้แก่ องค์กร "ICANN" ซึ่งอยู่ใต้การกำกับของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ กับ บริษัท ไอซีเอ็ม รีจิสตรี้ อิงก์ ซึ่งเสนอตัวเข้ามารับสัมปทานจัดสรรผลประโยชน์จากการเปิดเว็บไซต์ .xxx

จริงๆ แล้วเว็บนามสกุล .xxx ผ่านความเห็นชอบตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2548 แต่ยังไม่มีการเปิดขายชื่อ "โดเมนเนม" หรือชื่อของเว็บไซต์หมวดนี้ เนื่องจากเกิดข้อคัดค้านจากสารพัดทิศทาง

จนในที่สุด "ICANN" ต้องเลื่อนการตัดสินใจประกาศใช้เว็บ .xxx ออกไปไม่มีกำหนด

กลุ่มแรกที่ต่อต้าน คือ กลุ่มศาสนา กลุ่มอนุรักษนิยม และกลุ่มองค์กรเพื่อครอบครัว โดยให้เหตุผลว่า การเปิดเว็บ .xxx นอกจากจะเป็นการสร้างความชอบธรรมให้ "อุตสาหกรรมสื่อลามกออนไลน์" แล้ว ก็ยังไม่มีหลักรับประกันใดๆ ว่าเว็บลามกกลุ่มนี้จะถอนยวงออกจากเว็บไซต์นามสกุลอื่นๆ อาทิ ".com" หรือ ".net"

การเปิด .xxx ขึ้นมาอีกเท่ากับว่า เว็บลามกมี "ช่องทางจัดจำหน่าย-เผยแพร่สินค้า" เพิ่มอีก 1 ช่องทาง

กลุ่มต้านกลุ่มที่สอง ก็คือ ตัวอุตสาหกรรมสื่อลามกออนไลน์เอง เพราะกลัวว่าถ้าถูกกวาดต้อนเข้าไปรวมอยู่ใน .xxx จะทำให้ทางการสหรัฐ รวมถึงทางการทั่วโลกเข้ามาตรวจสอบความเคลื่อนไหวของพวกตนได้ง่ายขึ้น

นอกจากนั้น อาจตกเป็นเป้าของการ "บล็อก" และถูก "เซ็นเซอร์" เนื้อหาที่บรรจุอยู่ในเว็บไซต์อีกด้วย

ฝ่ายรัฐบาลสหรัฐซึ่งมีหน้าที่ดูแล "ICANN" ยังไม่ยอมฟันธงว่าจะเอาอย่างไรแน่ในกรณีของ .xxx เนื่องจากกำลังโดนชาวอเมริกันจับตาใกล้ชิด และที่สำคัญถ้ายอมอนุญาตให้เปิด .xxx ก็เท่ากับว่า สหรัฐต้องเปิดช่องให้รัฐบาลชาติอื่นๆ เข้ามามีส่วนในการบริหารจัดการเครือข่ายอินเตอร์เน็ตมากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

เพราะปัญหาเว็บลามกนั้นต้องตั้ง "องค์กรระดับโลก" ขึ้นมาควบคุม จะปล่อยให้สหรัฐดูแลเพียงลำพังย่อมไม่มีวันประสบความสำเร็จ

แปลงกายรถบังคับสู่หุ่นยนต์กู้ระเบิด

หุ่นยนต์กู้ระเบิดเป็นเทคโนโลยีที่ขายดีในยุคก่อการร้ายลามโลก

แต่ใช่ว่าจะซื้อมาใช้กันได้ง่ายๆ เพราะราคาไม่ใช่บาทสองบาท

หุ่นเก็บกู้-ทำลายวัตถุระเบิดรุ่นท็อปๆ ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ทั่วโลกนั้นราคาสูงระดับหลักล้านบาท ส่วนที่มีประสิทธิภาพรองๆ ลงมาก็ยังอยู่ในหลักแสน

ขนาดกองทัพสหรัฐที่ว่ากระเป๋าหนักๆ ก็ยังมีหุ่นยนต์กู้ระเบิดไว้ใช้ในสนามรบไม่เพียงพอ

ข่าวต่างประเทศรายงานว่า ในแต่ละวันมีทหารสหรัฐในอิรักและอัฟกานิสถานถูกฝ่ายต่อต้านใช้ระเบิดประดิษฐ์ (IEDs) ซึ่งมีหน้าตาคล้ายขวดน้ำ-กระป๋องน้ำอัดลมธรรมดาๆ ดักโจมตีจนล้มตายกันแทบทุกวัน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ศูนย์หุ่นยนต์ป้องกันภัยแห่งชาติของสหรัฐ ออกทุนวิจัยให้กับกองทุนเทคโนโลยีชั้นสูงแห่งเวอร์จิเนียลงมือพัฒนาหุ่นกู้ระเบิดรุ่นใหม่ที่มีต้นทุนต่ำ แต่ประสิทธิภาพสูงออกมา

หลังจากคิดค้นอยู่นับปี ในที่สุดหุ่นรุ่นใหม่นี้ชุดแรก 200 ตัวจะถูกส่งไปยังอิรัก โดยมีชื่อรุ่นว่า "บอมบ์บ็อต" ซึ่งมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าเดิมหลายเท่า ตกตัวละ 200,000 บาท

บอมบ์บ็อตมีขนาดเล็กเพียง 20x20 นิ้ว โครงสร้างหลักของหุ่นยนต์นำมาจากรถแข่งวิทยุบังคับ แต่ดัดแปลงภาครัฐสัญญาณวิทยุ สามารถบังคับไปได้ไกลเกือบ 1 กิโลเมตร

นอกจากนั้นก็ยังติดตั้งกล้องถ่ายภาพวิดีโอ และติดตั้งระเบิดซีโฟร์หนัก 4.5 กิโลกรัมเพื่อใช้เป็นเชื้อปะทุทำลายวัตถุต้องสงสัย

สำหรับขั้นตอนการปฏิบัติงาน ทหารจะบังคับบอมบ์บ็อตเข้าไปลาดตระเวนในพื้นที่เสี่ยง เพื่อส่องกล้องดูว่ามีระเบิดซุกซ่อนอยู่หรือไม่

ถ้าพบวัตถุต้องสงสัยว่าเป็น IEDs ก็จะสั่งให้หุ่นยนต์วางระเบิดซีโฟร์ลงไปตรงจุดดังกล่าว ก่อนจะบังคับหุ่นออกมา และจุดชนวนระเบิดเพื่อทำลายวัตถุต้องสงสัยไปพร้อมๆ กัน

ภายในสิ้นปี บอมบ์บ็อต 2,300 ตัวจะเดินทางสู่สมรภูมิอิรักเพื่อช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจให้ทหารสหรัฐ

"โดรน"บินหุ่นยนต์ ตรวจสอบมลพิษโลก

"โดรน" (Drones) เป็นชื่อเรียกเครื่องบินตรวจการณ์อัตโนมัติชนิดหนึ่ง

ทุกวันนี้ภาพลักษณ์ของโดรนผูกติดกับ "สงคราม" ไปแล้ว

เพราะกองทัพสหรัฐอเมริกาได้เสริมอาวุธสังหารหลายประเภทให้กับโดรน

เพื่อใช้เป็นเครื่องบินรบอัตโนมัติขนาดเล็กบุกเข้าโจมตีเป้าหมายทางทหารในพื้นที่ที่นักบินอาจเสี่ยงต่อการถูกปืนต่อสู้อากาศยิงตอบโต้

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่ามนุษย์เราจะพัฒนาโดรนขึ้นมาเพื่อฆ่าฟันกันเท่านั้น

ล่าสุด มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (เอ็นเอสเอฟ) ร่วมกับนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย กำลังเดินหน้าโครงการส่งโดรนขึ้นไปบินเก็บข้อมูลสภาพ "มลภาวะ-มลพิษ" ในบรรยากาศโลก

สำหรับผลการทดลองขั้นแรกเป็นการส่งโดรน 3 ลำ ขึ้นไปบินเหนือน่านฟ้าหมู่เกาะมัลดีฟส์ และมหาสมุทรอินเดียในภูมิภาคเอเชียใต้ เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาประสบความสำเร็จด้วยดี ซึ่งบรรยากาศบริเวณนี้ถือว่ามีมลพิษสูงมาก

โดรนแต่ละลำจะติดตั้งอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถวิเคราะห์แยกแยะ "อนุภาคมลพิษ" ที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศ 3 ระดับด้วยกัน

นั่นคือ ระดับใต้เมฆ ในก้อนเมฆ และเหนือก้อนเมฆ

หน้าที่ของโดรนที่บินในระดับใต้เมฆจะทำหน้าที่วัดปริมาณมลพิษและแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านเมฆลงมาสู่ผิวโลก

ด้านโดรนที่บินผ่านก้อนเมฆจะตรวจการทำปฏิกิริยาของมลพิษ ส่วนโดรนเหนือเมฆจะตรวจปริมาณแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบถูกก้อนเมฆและสะท้อนกลับสู่อวกาศ รวมทั้งตรวจระดับมลพิษที่เมฆขับออกมา

"วี. รามนาธาน" หนึ่งในคณะนักวิจัยโครงการนี้ ระบุว่า

เป้าหมายการวิจัยก็เพื่อศึกษาว่ากิจกรรมของมนุษย์ปล่อยมลพิษสู่สภาพอากาศอย่างไรและจะส่งผลกระทบอะไรตามมาบ้าง เพื่อเตรียมหาทางป้องกันแต่เนิ่นๆ และหวังว่าภายใน 5 ปีนับจากนี้จะสามารถส่งโดรนหลายร้อยตัวออกไปสำรวจสภาพมลพิษทั่วโลกต่อไป

Wednesday, April 19, 2006

คนงานไร้ชีวิต

รัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ต้องหาหนทางยกระดับแรงงานในประเทศของตนให้กลายเป็น แรงงานที่มีทักษะ ชำนาญงานเฉพาะด้าน

เพราะไม่เช่นนั้น เมื่อถึงคราวที่กลุ่มนายทุนใหญ่นำเอา จักรกล-เทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้ามาทำงานแทนคนเมื่อไหร่

แรงงานไร้ทักษะคงมีอันต้องตกงานกันระเนระนาด เหมือนครั้งที่เครื่องจักรเข้าไปทำงานในระบบโรงงานอุตสาหกรรม

ขณะนี้ในประเทศตะวันตก เครื่องขายสินค้าอัตโนมัติกำลังรุกคืบเข้ามาทำงานเป็น พนักงานขาย แทนคนมากขึ้น

เช่น เครื่องจักรที่ทำหน้าที่เป็นพนักงานขายดอกไม้ ขายสินค้าสะดวกซื้อ รวมไปจนถึงพนักงานซัก-อบ-รีด ฯลฯ

ในส่วนของ เครื่องขายดอกไม้อัตโนมัติ รุ่น ฟลาเวอร์ ออล อาวเวอร์ส มีการทดลองเปิดบริการในออสเตรเลีย

ด้านในตัวเครื่องจะมีระบบรักษาอุณหภูมิ ความชื้น และป้องกันไอเสียควันรถ ยืดเวลาดอกไม้เหี่ยวเฉานานกว่าร้านทั่วไป 3 เท่า

ลูกค้าที่ต้องการซื้อเพียงมากดปุ่มบนหน้าจอของตัวเครื่องก็จะได้ดอกไม้ไหลออกมา และจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิต

หันไปดูในบางประเทศแถบยุโรปและสหรัฐ ร้านสะดวกซื้ออัตโนมัติ ช็อป 24 ได้ขยายตัวไปแล้วนับร้อยสาขา

หน้าตาของร้านช็อป 24 ที่ว่านี้มีลักษณะเหมือนกับตู้แช่เครื่องดื่ม หรือ ตู้ขายบุหรี่อัตโนมัติทั่วๆ ไป แต่มีขนาดใหญ่โตกว่ากันมาก โดยตัวตู้มีหลังคา-โครงสร้างห่อหุ้มอยางดี สามารถบรรจุสินค้ากว่า 200 รายการ เพื่อให้ลูกค้ากดปุ่มเลือกซื้อตามสะดวก

มาล่าสุดช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทอีเอนี่ไทม์ สหรัฐ ก็เพิ่งเปิดตัวบริการใหม่ นั่นคือ ตู้ซักแห้งอัตโนมัติเคลื่อนที่ ซึ่งนำไปตั้งตามซุปเปอร์มาร์เก็ต โรงแรม ร้านชำ บริษัทห้างร้าน และหอพักใหญ่ๆ ได้

วิธีใช้งาน ลูกค้าจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต-เดบิต จากนั้นนำเสื้อผ้าเข้าไปใส่ในตู้ พร้อมกับป้อนคำสั่งวัน-เวลาที่ต้องการมารับเสื้อ ช่องซักแห้งแต่ละช่องจะล็อกแยกออกจากกัน มีแต่เจ้าของเสื้อเท่านั้นทีจะปลดล็อกได้

ในอนาคตอันใกล้ เชื่อว่าจะมีคนงานไร้ชีวิตเหล่านี้ออกมาแย่งงานคนงานมีชีวิตมากขึ้นทุกขณะ!

ช้อนอัจฉริยะ-ตรวจวัดระดับส่วนผสม

ก็อย่างที่เคยบอกนั่นแหละครับ

ทุกวันนี้ถ้าผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ชนิดไหนไม่มีคำว่า อัจฉริยะ-แสนรู้ กำกับพ่วงท้ายไว้ด้วย ดูจะไม่ค่อยเข้ากับยุคสมัยเท่าไหร่

เรียกว่าทำกันจนกลายเป็นแฟชั่น...

ส่วนจะแสนรู้จริง-ไม่จริงอย่างไร ผู้บริโภคคงต้องวัดดวงซื้อไปใช้พิสูจน์กันเอง

ที่ห้องทดลองของสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสซาชูเส็ตต์ (เอ็มไอที) สถาบันด้านเทคโนโลยีชื่อดังของเมืองลุงแซม ก็กำลังพัฒนานวัตกรรมแสนรู้ใหม่ล่าสุดอยู่เช่นกัน

นั่นคือ ช้อนอัจฉริยะ (Intelligent Spoon)

เพียงแต่สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ไม่ได้คิดค้นออกมาเพื่อวางตลาด

แต่เป็นส่วนหนึ่งในโครงการผสมผสาน คอมพิวเตอร์ เข้ากับ เครื่องทำครัว

คุณคอนนี่ เจิ้ง กับ คุณลีโอนาร์โด โบนันนี 2 นักวิจัยผลงานชิ้นนี้ ให้ข้อมูลว่า กลไกการทำงานช้อนอัจฉริยะมี 2 ส่วนหลักๆ

ส่วนแรก คือ เซ็นเซอร์ 5 ตัวที่ติดตั้งอยู่ในช้อน ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบระดับอุณหภูมิ ความเป็นกรดเป็นด่าง ความเค็ม และความเข้มข้นของประมาณส่วนผสม-เครื่องปรุงต่างๆ ที่คลุกเคล้าอยู่ในถ้วย หม้อ หรือชาม ว่าเข้ากันพอดีตรงตามสูตรหรือไม่

ส่วนที่ 2 เมื่อจุ่มช้อนลงไปในส่วนผสมดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว เซ็นเซอร์จะส่งข้อมูลการตรวจสอบผ่านสายเคเบิลเข้าไปยังคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ประมวลผลดูว่าส่วนผสมที่ได้ตรงตาม สูตรอาหาร ที่กำหนดเอาไว้ในหน่อยความจำมากน้อยขนาดไหน ควรลดหรือเพิ่มเครื่องปรุงใดมากเป็นพิเศษ

ถ้ามีช้อนแสนรู้คันนี้อยู่คู่ครัวก็เหมือนกับมีคุณแม่มาคอยยืนกำกับอยู่ข้างๆ เวลาทำอาหารดีๆ นี่เอง

ทีมงานวิจัยตั้งเป้าว่า ในอนาคตนวัตกรรมช้อน หรือ เครื่องครัวแสนรู้ประเภทอื่นๆ จะช่วยตรวจสอบคุณค่าทางโภชนาการของอาหารที่กำลังปรุงอยู่ได้ง่ายขึ้น ซึ่งผลที่ตามมาก็คือสุขภาพที่ดีของผู้บริโภค

ยกเครื่อง"มารีน วัน" สุดยอดฮ. ผู้นำสหรัฐ

จำได้ว่าไม่กี่ปีผ่านมานี้ รักษาการนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร มีดำริสั่งซื้อเครื่องบินประจำตัวนายกฯ ไทย แบบทันสมัยไฮเทค เลียนแบบเครื่องบินกองบัญชาการลอยฟ้า "แอร์ฟอร์ซวัน" ของผู้นำมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา ปลุกเสียงวิพากษ์วิจารณ์หูชา

ว่ากันตามรูปการณ์ ประธานาธิบดีสหรัฐจำเป็นต้องมีอากาศยานระดับสุดยอดของโลกเอาไว้ใช้ เพราะช่างขยันเพาะพันธุ์ศัตรูไว้ทั่วสารทิศจริงๆ

ที่สำคัญ คู่อริแต่ละชาติแต่ละกลุ่มนั้นต่างก็สะสมอาวุธอันตรายไว้เต็มพิกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งขีปนาวุธนำวิถีติดหัวรบนิวเคลียร์ !

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่การนำเครื่องบินขึ้น-ลงแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

ดังนั้น ปธน.สหรัฐ จึงต้องมี "สุดยอดเฮลิคอปเตอร์" เอาไว้ใช้งานยามฉุกเฉินเช่นกัน

เฮลิคอปเตอร์ หรือ ฮ. ของผู้นำสหรัฐมีชื่อรหัสเรียกขานว่า "มารีน วัน" ในอดีต ใช้ฮ. รุ่น ซีคิง 116 แต่ปัจจุบัน "ทำเนียบขาว" มอบหมายให้บริษัทค้าอาวุธชื่อดังแห่งหนึ่งพัฒนามารีน วัน รุ่นใหม่ ซึ่งลักษณะหน้าตาก็ดูดุดันน่ายำเกรงเอาเรื่องเหมือนกัน

ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า ฮ. ใหม่ลำนี้จะเริ่มขึ้นบินระหว่างปี 2552-2557 มีชื่อรุ่น ว่า "วีเอช-71" สนนราคาลำละประมาณ 4,400 ล้านบาท

เป้าหมายการพัฒนาเพื่อใช้เป็นกองบัญชาการลอยฟ้าสำหรับผู้นำสหรัฐเช่นเดียวกับแอร์ฟอร์ซวัน โดยพื้นที่ใช้สอยในตัวฮ. แยกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนลูกเรือ กับ ส่วนปฏิบัติงาน

ติดตั้งเครื่องยนต์ 3,000 แรงม้า จำนวน 3 เครื่อง ทำงานเป็นอิสระจากกัน ทำให้ไม่ต้องลงจอดกรณีเกิดเครื่องยนต์ขัดข้อง ส่วนโรเตอร์ใบพัดมีทั้งหมด 5 ตัว

นอกจากนั้น ยังจะได้รับการติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธต่อสู้อากาศยาน ระบบเรดาห์ และตรวจจับวัตถุต้องสงสัยด้วยเลเซอร์ พร้อมกับมีระบบสื่อสารเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ในตัวฮ. เข้ากับคอมพิวเตอร์ของทำเนียบขาวและกระทรวงกลาโหมสหรัฐ

ถ้านายกฯ ไทยยุคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลอยากได้มาใช้สักลำ ก่อนอื่นคงต้องแก้ปัญหารัฐบาลถังแตกที่เกิดขึ้นในขณะนี้ให้ได้ก่อนแล้วค่อยฝันกันอีกที!

หุ่นยนต์-หุ่นผู้หญิง

ทิศทางการพัฒนา "หุ่นยนต์" คาดว่าจะมุ่งไปเพื่อ "ความบันเทิง" เป็นหลัก

เราจึงเห็นหุ่นยนต์จากประเทศญี่ปุ่นมีความสามารถในการสร้างความสนุกสนานด้วยรูปแบบต่างๆ

เช่น เต้นรำ ทำตัวเป็นพีอาร์ประชาสัมพันธ์ หรือเป็นสัตว์เลี้ยงแก้เหงา

ถ้าติดตามข่าวสารการพัฒนาหุ่นยนต์ใหม่ๆ ก็จะสังเกตเห็นว่า ส่วนใหญ่แล้วมีรูปร่างหน้าออกแนว "เพศชาย" มากกว่า "เพศหญิง" แถมยังเป็นผู้ชายหุ่นอ้วนๆ ตัวหนาๆ เสียด้วยสิ

เพราะลักษณะโครงสร้างดังกล่าวช่วยรักษาสมดุลได้ดี ป้องกันไม่ให้หุ่นยนต์ โดยเฉพาะพวกหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ (ฮิวแมนอยด์โรบอท) ก้าวเดินแล้วหกล้มง่ายเกินไป

ล่าสุด "โทโมทากะ ทากาฮาชิ" ผู้ก่อตั้งศูนย์พัฒนาหุ่นยนต์ "โรโบ-การาจ" ภายใต้สังกัดมหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น กำลังพยายามประดิษฐ์หุ่นยนต์ที่มีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นอ่อนช้อยเหมือนกับนางแบบสาวขึ้นมา

มีชื่อเรียกเบื้องต้นแบบตรงตัวว่า "หุ่นยนต์ผู้หญิง" หรือ "เอฟที" (Femalt Robot : FT)

ต้นแบบที่ทดลองผลิตออกมาแล้วนั้น สูง 35 เซนติเมตร หนัก 800 กรัม

ดูลีลาการโพสท่าในภาพต้องบอกว่าไม่ธรรมดา

โทโมทากะกับทีมงานสั่งสมชื่อเสียงมาจากการสร้างหุ่นยนต์ดังๆ หลายรุ่น

เช่น หุ่นกู้ภัย "เอ็นริว" กับหุ่นคล้ายมนุษย์ "โครอิโน" ที่เดินสองขาได้คล่องแคล่ว

ความลับที่ช่วยให้สร้างหุ่นเอฟทีได้สำเร็จก็คือ การติดตั้งอุปกรณ์ "ไจโรเซ็นเซอร์" ขนาดเล็กและบางเฉียบ 2 ตัวเอาไว้ในตัวหุ่น

ซึ่งทำหน้าที่คอยควบคุมให้หุ่นหยุดเดินไปข้างหน้าในทันทีที่เริ่มเป๋ จากนั้นเมื่อหุ่นปรับสมดุลได้ที่แล้วจึงค่อยเดินต่อ

โทโมทากะมองว่า หุ่นเอฟทีจะเหมาะสำหรับงานประชาสัมพันธ์ และงานอื่นๆ ที่ต้องการภาพลักษณ์ของความนุ่มนวล

แต่จะพัฒนาจนสมบูรณ์ถึงขั้นวางตลาดหรือไม่นั้นคงต้องรอดูกันต่อไป

Tuesday, April 11, 2006

รถเมล์อินเตอร์เน็ต เปิดบริการคน"ปารีส"

ปัจจุบันเวลาประชาชนในกรุงปารีส เมืองหลวงฝรั่งเศส ขึ้นรถเมล์สาย 38 นี่รับรองไม่มีเบื่อแน่ๆ

คนที่ออกมารับประกันแบบนี้ก็คือ บริษัทอาร์เอทีพี ซึ่งดำเนินกิจการเกี่ยวกับระบบขนส่งมวลชนทั่วฝรั่งเศส

เหตุที่ต้องเป็นรถเมล์สาย 38 เพราะเป็น "สายนำร่อง" ของโครงการติดตั้งระบบอินเตอร์เน็ตไร้สายในรถเมล์

หรือมีชื่อเรียกเป็นทางการว่า โครงการ "อินเตอร์เน็ต โปรโตคอล (ไอพี) อินโมชั่น"

เมื่อก้าวขึ้นไปนั่งบนรถสาย 38 ผู้โดยสารจะเห็นคอมพิวเตอร์จอแบน ติดตั้งอยู่ในตัวรถ 2 จุด

คอมพิวเตอร์ทั้ง 2 จอนี้จะทำหน้าที่ถ่ายทอดสดสัญญาณภาพรายการข่าว-รายการบันเทิงระบบดิจิตอล ที่ส่งผ่านเครือข่ายไร้สายจากเซิร์ฟเวอร์ของอาร์เอทีพี มายังอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไร้สายในตัวรถเมล์

นอกจากนั้น ระบบคอมพิวเตอร์ในตัวรถยังสามารถประเมิน "เวลา" ที่รถจะแล่นไปถึงป้ายต่างๆ เพื่อบอกให้ผู้โดยสารทราบ

รวมทั้งให้ข้อมูลรายละเอียด "สถานที่ท่องเที่ยว" สำคัญๆ ที่รถวิ่งผ่าน

ทีเด็ดของรถเมล์สาย 38 ยังไม่หมดแค่นี้

เพราะยังมีการติดตั้ง "กล้องวิดีโอวงจรปิด" เอาไว้บนรถ เพื่อคอยสอดส่องรักษาความปลอดภัยให้กับผู้โดยสารอีกด้วย

หวังลึกๆ ว่าสักวันหนึ่งในอนาคต เมืองไทยเราจะมีรถเมล์ประเภทนี้มาวิ่งให้บริการประชาชนบ้าง

แต่ไม่รู้จะฝันมากเกินไปหรือเปล่า เพราะทุกวันนี้หน่วยงานขนส่งมวลชนบ้านเราแค่จะหารถเมล์ติดแอร์มาวิ่งให้ครบทุกสายก็ยังเหนื่อยเลยครับ!

Friday, April 07, 2006

ฉีด"เจล"ทำหมันชาย ไม่ผ่าตัด-ฆ่าอสุจิ10ปี

ประชากรล้นโลก จนต้องเกิดการแย่งชิงทรัพยากรกันทุกหย่อมหญ้า ไม่ใช่เรื่องไกลเกินจริง

ลำพังทุกวันนี้ แค่พลเมืองจีน กับ อินเดีย รวมกันก็มหาศาลปาเข้าไปเกือบ 3,000 ล้านคนอยู่แล้ว

ไม่นับรวมความก้าวหน้าทางการแพทย์ ที่จะช่วย "โกงธรรมชาติ" ยืดอายุขัยของคน (มีเงิน) ออกไปอีกหลายสิบปี

การ "ทำหมัน" เป็นวิธีทางการแพทย์และทางเลือกสำคัญในการควบคุมจำนวนประชากรของแต่ละประเทศ

ในอดีต พอพูดถึงการทำหมัน ภาระจะไปตกกับฝ่ายหญิง-ฝ่ายภรรยา อยู่เรื่อยไป เพราะต้องแบกรับความเสี่ยง ผลกระทบจากการรับประทานยาคุมกำเนิด หรือ ต้องเจ็บตัวจากการผ่าตัด

แต่มาระยะหลังฝ่ายชาย-ฝ่ายสามี บางส่วน ก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองควรรับผิดชอบเรื่องการทำหมันบ้าง จึงมีการคิดค้นวิธีใหม่ๆ ออกมาช่วยเหลือคุณผู้ชาย นอกเหนือจากการผ่าตัด

หนึ่งในโครงการทำหมันชายที่เคยได้รับความสนใจระดับโลก ก็คือ โครงการผลิตยาชนิดเจลใส "RISUG" (Reversible Inhibitation of Sperm Under Guidance) ซึ่งมีศาสตราจารย์สุโย กุหา จากสถาบันเทคโนโลยีอินเดีย เป็นแกนนำการวิจัย

RISUG เป็นเจลซึ่งผลิตจากน้ำยาฆ่าอสุจิชนิดพิเศษ เมื่อฉีดเข้าไปในท่อน้ำเชื้อของผู้ชายเรียบร้อยแล้ว ตัวยาจะเข้าไปเคลือบตัวท่อเอาไว้ ทำให้อสุจิที่ถูกปล่อยออกมาจากลูกอัณฑะมีอันต้องหมดสภาพ เข้าไปปฏิสนธิกับไข่ของฝ่ายหญิงไม่ได้

โครงการ RISUG ค้นคว้ากันมานับ 10 ปีเลยครับ มีอาสาสมัครร่วมทดลองนับพันคน แล้วก็ได้รับความสนใจจากองค์กรวางแผนครอบครัวในสหรัฐอเมริกาด้วย

เพราะการทำหมันชายด้วย RISUG ไม่ต้องผ่าตัด ใช้เวลาฉีดเจลเพียง 60 มิลลิกรัมเพียง 10 นาทีก็ออกฤทธิ์ได้นาน 10 กว่าปี ถ้าต้องการเลิกใช้ยาก็ฉีดน้ำยาอีกชนิดเข้าไปล้างเจลออกได้สะดวกสบาย

การทดลอง RISUG ต้องยุติชั่วคราวเมื่อ 4 ปีก่อน หลังจากกระทรวงสาธารณสุขอินเดียเห็นว่า อาสาสมัคร 1 ใน 3 เกิดอาการถุงอัณฑะบวม ซึ่งแม้ว่าการบวมจะไม่ทำให้เจ็บปวด แต่ทางการขอระงับไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย นอกจากนี้ มีแพทย์บางกลุ่มเตือนด้วยว่าสาร dimethyl sulfoxide ที่อยู่ในเจลอาจทำอันตรายต่อไต

อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทางการอินเดียอนุมติการทดลองอีกครั้งแล้ว และฝ่ายศ.กุหา ได้ติดต่อขอความร่วมมือจากนักวิจัยในสหรัฐให้มาช่วยแก้จุดบกพร่อง ซึ่งทีมงาน RISUG เชื่อว่าถ้าหนนี้ทำสำเร็จจะเป็นการปฏิวัติวิธีการทำหมันชายครั้งใหญ่ของโลก

Wednesday, April 05, 2006

ฮัลโหลคาราโอเกะ-ประชันเสียงกับศิลปินดัง

ยิ่งโทรศัพท์มือถือหลอมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประชากรโลกมากขึ้นเท่าไหร่

บริษัทสื่อสารโทรคมนาคม ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ ก็ต้องคิดค้นกลยุทธ์ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากขึ้นเท่านั้น

ล่าสุด ในประเทศอังกฤษกำลังมีการทดลองบริการ ร้องเพลงคาราโอเกะผ่านมือถือ รูปแบบใหม่

บริการดังกล่าวมีชื่อว่า ริง แอนด์ ซิง พัฒนาบริษัทว็อกซ์เจน ในกรุงลอนดอน

การร้องคาราโอเกะที่ว่านี้ ไม่เหมือนกับบริการร้องคาราโอเกะผ่านมือถือทั่วๆ ไป เหมือนกับที่มีในประเทศอื่นๆ เช่น กดคำสั่งขอใช้บริการแล้วเปิดเสียงเพลงขึ้นมาร้องคลอตามไป

แต่ ริง แอนด์ ซิง จะนำเอาเพลงของศิลปินชื่อดังมาเปิดให้ฟังก่อน 1 เที่ยว

จากนั้นจะมีเสียงดนตรีคาราโอเกะจากเพลงเดียวกันเปิดขึ้นตามมา ให้ลูกค้าเปล่งเสียงร้องตามลงไปในสายเลย

เมื่อร้องจบ ระบบจดจำลักษณะการออกเสียง (วอยซ์ เรคค็อกนิชั่น) จะนำเอาน้ำเสียง-โทนเสียงการร้องของลูกค้าไปเปรียบเทียบกับเสียงของศิลปินต้นฉบับว่ามีความใกล้เคียง หรือ ต่างกันขนาดไหน เพื่อประเมินผลเป็นคะแนนเต็ม 10 ออกมา

ถ้าร้องดี ใกล้เคียงต้นฉบับ ก็จะได้คะแนนสูง

แต่ถ้าร้องเพี้ยน ผิดคีย์ก็จะได้คะแนนต่ำ

ทางบริษัทว็อกซ์เจน มองว่า รายการเกมโชว์ประเภท เรียลลิตี้โชว์ ที่เปิดให้ผู้ชมทางบ้านสมัครไปแข่งขันร้องเพลงสดๆ นั้นได้รับความนิยมอย่างสูง เรตติ้งพุ่งกระฉูดทั่วโลก

ดังนั้นระบบ ริง แอนด์ ซิง น่าจะเข้ามาตอบสนองความต้องการของลูกค้า รวมทั้งบริษัทต่างๆ ที่ต้องการทำธุรกิจแบบเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบมาเปิดการแข่งขันร้องเพลงผ่านมือถือแบบสดๆ และอาจมีแมวมองมาทาบทามผู้เล่นไปออกเทปก็เป็นได้

จุดเด่นของ ริง แอนด์ ซิง ก็คือนำไปใช้ได้กับเพลงทุกชาติทุกภาษา แต่จะได้รับความนิยมหรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับราคาค่าบริการที่เหมาะสมด้วยเป็นหลัก

Monday, April 03, 2006

สิงคโปร์พร้อมใช้ หนังสือเดินทางชีวภาพ

ขณะนี้สิงคโปร์เป็นไม่กี่ชาติในโลกที่มีความพร้อมเรื่องการประกาศใช้ "อี-พาสปอร์ต" หรือหนังสือเดินทางอัจฉริยะอิเล็กทรอนิกส์

นายหว่อง คันเส่ง รัฐมนตรีมหาดไทยสิงคโปร์แถลงว่า อี-พาสปอร์ตที่รุ่นใหม่กำลังจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปนำไปใช้งานนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2549 เป็นต้นไป มีชื่อเป็นทางการว่า "ไบโอพาส" (หนังสือเดินทางชีวภาพ)

สาเหตุที่มีคำ "ชีวภาพ" พ่วงท้าย ก็เพราะภายในหนังสือเดินทางเหล่านี้จะมี "ชิพคอมพิวเตอร์" ซึ่งบรรจุข้อมูลทางกายภาพส่วนบุคคลของเจ้าของหนังสือเดินทาง
นั่นคือ เค้าโครงโครงสร้างใบหน้า เช่น ลักษณะของฟันกราม และลายนิ้วมือ

ความจริงทางการของประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่เป็นสมาชิก "องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ" มีภาระหน้าที่ในการจัดทำอี-พาสปอร์ตแบบเดียวกันนี้ให้กับประชาชนของตน

วัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นหนึ่งในกลไก-เครื่องมือป้องกันไม่ให้สมาชิก "กลุ่มก่อการร้าย-อาชญากรข้ามชาติ" ปลอมแปลงหนังสือเดินทางได้อย่างง่ายดายเหมือนในอดีต

ในส่วนของประเทศไทยเราก็กำลังอยู่ระหว่างการจัดทำโครงการอี-พาสปอร์ต

แต่ยังติดปัญหาเรื่องความโปร่งใสเรื่องการดำเนินงานจึงล่าช้าไปบ้าง

สำหรับแดนสิงคโปร์ รมต.หว่องเปิดเผยว่า โอกาสปลอม "ไบโอพาส" ถือว่ายากมาก

เนื่องจากตัวชิพข้อมูลคอมพิวเตอร์ถูกฝังไว้ในตัวเล่มหนังสือเดินทางและส่งผ่านข้อมูลกับเครื่องอ่านแบบไร้สายโดยไม่ต้องสัมผัสกัน

นอกจากนี้ ภาพใบหน้าของเจ้าของหนังสือเดินทางยังพิมพ์ด้วยระบบ "แสงเลเซอร์" ชนิดพิเศษ

และมีการประทับโลโก้อีพาสปอร์ตขององค์การการบินพลเรือนฯ กำกับไว้ด้วย ทำให้ยากต่อการทำเลียนแบบ

อย่างไรก็ตาม ราคาของอี-พาสปอร์ตคาดว่าจะสูงกว่าพาสปอร์ตรุ่นเก่า 2-3 เท่า เฉลี่ยแล้วน่าจะอยู่ที่ 2-3 พันบาทต่อเล่ม ซึ่งภาระส่วนนี้ชาวบ้านก็ต้องรับผิดชอบจ่ายกันเอง