Monday, May 29, 2006

ศิลปินออนไลน์-ต่อยอดธุรกิจเพลง

ได้ยินข่าวมาว่าโครงการ "ศิลปินดิจิตอล" ของค่ายเพลงอาร์เอส ประสบความสำเร็จก้าวแรกได้ดีเลยทีเดียว

โดยนักร้องแร็พหน้ากวน "ดีดีซี" ที่สร้างขึ้นมาโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทำรายได้เข้าอาร์เอสหลายสิบล้านบาท

กระแสสร้างศิลปินดิจิตอลในระดับโลก ถือว่าอยู่ในช่วงทดลองตลาดอย่างต่อเนื่อง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ที่มีการสร้างดารา-นักแสดงดิจิตอลออกมาโลดแล่นอย่างมีชีวิตชีวา

ศิลปินดิจิตอลเหล่านี้ไม่บ่น ไม่เรื่องมาก ไม่เหนื่อย ไม่มีพฤติกรรมอื้อฉาว จนทำให้ต้นสังกัดต้องปวดหัว (เพราะไม่มีชีวิต)

สำหรับในแง่มุมของอุตสาหกรรมเพลงสากล ล่าสุด เมื่อ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา ค่ายเพลง "อินเตอร์สโคป" ก็เพิ่งเริ่มต้นโครงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับศิลปินในสังกัด

ด้วยการทดลองเปิด "ชุมชนเสมือน-ชุมชนออนไลน์" ผ่านเว็บไซต์อินเตอร์เน็ต เพื่อให้ "แฟนคลับ" ผู้ชื่นชอบคลั่งไคล้ศิลปินของอินเตอร์สโคปได้มีพื้นที่ในการปฏิสัมพันธ์-พูดคุยกับศิลปินคนโปรดและซื้อผลงานผ่านชุมชนออนไลน์แห่งนี้

โครงการดังกล่าวมีชื่อว่า "พุซซี่แคท ดอลล์ส เลานจ์" ซึ่งตั้งขึ้นมาตามชื่อของศิลปินพ็อพ/ดานซ์ "เดอะ พุซซี่แคท ดอลล์ส" (พีซีดี) ภายใต้สังกัดอินเตอร์สโคปนั่นเอง

วิธีใช้งาน "พุซซี่แคท ดอลล์ส เลานจ์" เริ่มจากแฟนคลับทั่วโลกต้องเข้าไปยังเว็บไซต์ pcdmusic.com เพื่อดาวน์โหลดโปรแกรม

เมื่อโหลดเรียบร้อยแล้ว พอเปิดโปรแกรมและต่อสัญญาณกับอินเตอร์เน็ต หน้าจอคอมพิวเตอร์จะปรากฏภาพ 3 มิติของ "ไนต์คลับเสมือน" สำหรับแฟนคลับพีซีดีขึ้นมา

จากนั้น ผู้ใช้จะสามารถเลือก "ตุ๊กตา" เพื่อใช้แทนตัวเอง และขณะกำลังสั่งให้ตุ๊กตาเดินเที่ยวภายในเลานจ์ หรือห้องสังสรรค์ต่างๆ ที่อยู่ในไนต์คลับเสมือน ก็เล่น "แช็ต" กับแฟนคลับคนอื่นๆ รวมทั้งตัวพีซีดีที่จะเข้ามาร่วมแช็ตในบางเวลาได้ด้วย

ว่าไปแล้วก็คล้ายกับ "แช็ตรูม" เพียงแต่พัฒนาขึ้นไปอีกระดับ นอกจากนั้น ระหว่างอยู่ในเลานจ์ก็จะมี "ดีเจ." คอยเปิดเพลงของศิลปินในสังกัดให้ฟัง ถ้าถูกใจก็สั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ได้เลย

ผู้บริหารอินเตอร์สโคปเชื่อว่า วิธีการแบบนี้จะยิ่งทำให้แฟนคลับรู้สึกผูกพันกับศิลปินมากขึ้น และแน่นอนว่าย่อมส่งผลให้ยอดขายสินค้าของศิลปินเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน!

เสพติดอินเตอร์เน็ต

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศเพิ่งรายงานไว้ว่า อัตราผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลกทะลุหลัก 1 พันล้านคนไปแล้ว

ในจำนวนนี้ เป็นประชากรที่อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกามากที่สุด จึงไม่น่าแปลกใจที่ในสหรัฐ มีการศึกษาลงลึกถึงเรื่องพฤติกรรม "เสพติดโลกอินเตอร์เน็ต-โลกออนไลน์" แพร่หลายมากขึ้น

ในบางมหาวิทยาลัยถึงกับต้องจัดตั้ง "ศูนย์ให้คำปรึกษา" แก่คนที่สงสัยว่าตัวเองกำลังใช้เวลาออนไลน์มากผิดปกติ จนเสียการเรียน

ดร.ไดแอน เวียแลนด์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำคณะพยาบาล มหาวิทยาลัยลาซาลล์ รัฐเพนซินเวเนีย ซึ่งทำงานด้านการรักษาบำบัดผู้ป่วยเสพติดโลกออนไลน์ ระบุว่า ขณะนี้สถานการณ์เสพติดโลกออนไลน์อยู่ในขั้นน่าเป็นกังวล

แต่ยังฟันธงไม่ได้ว่าปัญหาขยายตัวไปมากขนาดไหนแล้ว

สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งเพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่ยอมรับ หรือ ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังเดินไปในทิศทางนั้น

เปรียบเหมือนกับผู้ป่วยโรคพิษสุราเรื้อรังช่วงแรกๆ ที่จะไม่สังเกตว่าตัวเองกำลังป่วย

เวลาดื่มสุราชอบอ้างว่า "ขอเป็นแก้วสุดท้าย" แต่ท้ายที่สุดก็ควบคุมพฤติกรรมการดื่มไม่ได้ ทั้งยังดื่มมากขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับผู้มีอาการเสพติดโลกออนไลน์ก็มีลักษณะดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดยมักคิดว่า

"แค่เล่นอินเตอร์เน็ตต่อแค่ 2-3 นาทีคงไม่มีอะไรเสียหายมากมายนัก!"

ดร.เวียแลนด์ ประเมินจากประสบการณ์ว่า ทั่วสหรัฐน่าจะมีผู้เข้าข่ายเสพติดโลกออนไลน์ 5-10%

ระดับของอาการจะแตกต่างกันออกไป

โดยขั้นรุนแรงมากๆ อาจถึงระดับติดบ่วงเสน่หากับคู่สนทนาที่เจอกับในอินเตอร์เน็ตจนกระทั่งมีปัญหาทะเลาะกับคู่สมรสในชีวิตจริง

กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงเสพติดโลกออนไลน์มากที่สุด คือ

ผู้ป่วยหรือเคยป่วยด้วยอาการซึมเศร้า พิษสุราเรื้อรัง และมีประวัติติดยาเสพติด

สำหรับคนที่สงสัยว่าเราเข้าข่ายป่วยด้วยโรคไฮเทคนี้หรือไม่

ทุกวันนี้แบบทดสอบอาการเสพติดการใช้งานอินเตอร์เน็ต หรือ เสพติดโลกออนไลน์ นั้นมีแพร่หลายพอสมควร

เท่าที่สำรวจตรวจสอบข้อมูลมา พอสรุปอาการเบื้องต้นได้ 10 ข้อ ด้วยกัน


1. หยุดเล่นอินเตอร์เน็ตไม่ได้

ในกรณีนี้จะถือว่าอาการยิ่งรุนแรงมากขึ้น
ถ้าเกิดเคยสัญญากับตัวเอง หรือ บุคคลอื่นว่าจะลดเวลาการออนไลน์
แต่ผลสุดท้ายก็ทำไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้

2. เริ่มโกหก

โกหกบุคคลรอบข้างว่าไม่ได้เล่นอินเตอร์เน็ต แต่จริงๆ
แล้วพยายามทุกวิถีทางเพื่อหาโอกาสออนไลน์

3. สถานการณ์เริ่มเลวร้าย
แต่ยังไม่รู้ตัว

เมื่อเสียเวลาอยู่ในโลกออนไลน์มากๆ เข้า
ก็จะทำให้ไม่มีเวลาไปทำกิจกรรมอย่างอื่น ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน

4. มีพฤติกรรมผิดศีลธรรม

เวลาเข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์
เริ่มกลายเป็นคนชอบโกหกหลอกลวง กล้าทำกล้าพูดในสิ่งผิดศีลธรรม
เพราะรู้ว่าสามารถปกปิดสถานะที่แท้จริงของตัวเองได้

5. ไม่รู้เวลา

นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อเล่นอินเตอร์เน็ตโดยไม่รู้เวลา
จัดลำดับความสำคัญของการงาน หรือ การเรียนไม่ได้

6. ติดเน็ต-เหมือนติดยา

เวลาออนไลน์แล้วรู้สึกขัดแย้งในตัวเอง เช่น รู้ว่าการเล่นอินเตอร์เน็ตมากๆ
เป็นสิ่งไม่ดี แต่ห้ามตัวเองไม่ได้ เพราะเสพติดไปแล้ว

7.
ชีวิตขาด"เน็ต"ไม่ได้

แสดงปฏิกิริยาต่อต้านทันที เมื่อถูกบีบบังคับ หรือ
จำเป็นต้องลดเวลาการออนไลน์

8. คิดอะไรไม่ออก

ขณะทำกิจกรรมต่างๆ
เช่น รับประทานอาหาร ทำงาน อ่านตำรา ฯลฯ
จะห้ามใจไม่ให้คิดถึงการเล่นอินเตอร์เน็ตไม่ได้

9. แยกตัว

เกิดอาการแยกตัวจากสังคม ไม่กล้าเผชิญหน้ากับชีวิตจริง
โดยเข้าไปหลบตัวอยู่ในโลกของอินเตอร์เน็ตแทน

10. สิ้นเปลืองเงิน

สิ้นเปลืองเงินทองไปกับการอัพเกรดคอมพิวเตอร์ การอยู่ในโลกออนไลน์ หรือ ใช้จ่ายเงินหมดไปกับเวลาค่าใช้อินเตอร์เน็ตโดยไม่จำเป็น

เหล่านี้เป็นแบบทดสอบเบื้องต้นเพื่อจะดูว่ามีอาการเสพติดอินเตอร์เน็ตหรือไม่ครับ

"ซันไชน์การ์เดน" จัดสวนแบบประหยัดน้ำ

ปัจจุบัน นอกจากประชากรโลกต่างต้องหาหนทางประหยัด "น้ำมัน" จนตัวหนีบตัวลีบแล้ว

ก็ยังต้องวางโครงการประหยัดทรัพยากร "น้ำ" อีกด้วย

เมื่อสัปดาห์ก่อนนี่เอง มีข่าวจากประเทศอังกฤษว่า กรุงลอนดอนกำลังเข้าสู่ภาวะขาดแคลนน้ำดื่ม-น้ำใช้ อย่างไม่รู้ตัว

ด้วยเหตุนี้ทางการและบริษัทเอกชนบางแห่ง ถึงกับต้องวางแผนทำฝนเทียมกันยกใหญ่ รวมถึงถือวิสาสะลากเอาก้อน "น้ำแข็งยักษ์" จากขั้วโลก ซึ่งเป็นสมบัติร่วมกันของชาวโลกมาใช้เพื่อแก้ปัญหาขาดน้ำของตนเองกันเลยทีเดียว

ล่าสุด "เคน ลิฟวิ่งสตัน" นายกเทศมนตรีลอนดอน ก็มีความคิดประกาศโครงการ "ซันไชน์ การ์เดน" หรือ สวนแห่งความรื่นรมย์

มีเป้าหมายเพื่อรณรงค์ให้ชาวลอนดอนหันมาปลูกพืชพรรณและต้นไม้ ที่ทนทานต่อสภาพความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ และที่สำคัญที่สุดก็คือไม่ต้องการการรดน้ำครั้งละมากๆ

เพื่อเป็นตัวอย่างแนะนำให้ชาวลอนดอนรู้จักวิธีการจัดสวนแนวใหม่ ซึ่งช่วยลดปริมาณการรดน้ำปลูกต้นไม้ที่อยู่ในสวน

ทีมงานของนายกฯ เล็กลิฟวิ่งสตัน กับ สมาคมพืชสวนในพระบรมราชินูปถัมภ์ จึงร่วมมือกันคัดสรรพรรณพืชและพรรณไม้สำหรับการ "จัดสวนแบบประหยัดน้ำ" มาแสดงให้ประชาชนชมในงานแสดงพันธุ์ไม้แฮมป์ตันคอร์ทพาเลซ

ตัวโครงสร้างของสวนซันไชน์การ์เดนหลักๆ ทำจากวัสดุรีไซเคิลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนั้น ยังติดตั้งกังหันลมปั่นไฟฟ้าขนาดเล็ก และระบบการรดน้ำต้นไม้ด้วยหยดน้ำ

ส่วนต้นไม้ที่ถูกเลือกมาปลูกนั้นไม่ใช่ต้นไม้ท้องถิ่น ซึ่งต้องกินน้ำมากๆ อีกต่อไป

แต่เลือกเอาต้นไม้ตามแถบชายทะเล รวมทั้งพรรณพืชและผลไม้แถบเมดิเตอร์เรเนียน ที่มีสีสันเหมือนกับไม้ในสวนที่คนลอนดอนชอบปลูก ผิดกันแค่ว่ามันทนทานต่อสภาพแห้งแล้งมีน้ำน้อยได้ดีกว่ากันหลายเท่า

ในสายตาใครบางคน แม้แผนจัดสวนประหยัดน้ำอาจเป็นเพียงก้าวเล็กๆ เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำในอนาคต

แต่ถ้าคนลอนดอนหลายสิบล้านคน รวมถึงชาวโลกเกิดพร้อมใจปฏิบัติตามตามขึ้นมาจริงๆ ก็อาจพัฒนากลายเป็นก้าวใหญ่ๆ ในที่สุด!

ไมโครซอฟท์เปิดสเปค คอมพ์รองรับโอเอส"วิสต้า"

ออกอาการป่วยด้วย "โรคเลื่อนไอที" ซ้ำแล้วซ้ำอีก

แน่นอนว่าคงเป็นโปรแกรมตัวไหนไปไม่ได้

นอกจากโปรแกรมระบบปฏิบัติการ (โอเอส) "วินโดว์ส วิสต้า" ของไมโครซอฟท์ เจ้าตลาดโปรแกรมคอพพิวเตอร์

ล่าสุด ก็เพิ่งมีข่าวเมื่อช่วงต้นเดือนพ.ค.ว่า ต้องเลื่อนการวางจำหน่ายไปเป็นต้นปี 2549

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่กลัวว่าจะเสีย "ฐานลูกค้า" ให้กับระบบปฏิบัติการอื่นๆ ทางไมโครซอฟท์จึงจำเป็นต้องออกคู่มือชี้แจงกับลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มสำนักงานแต่เนิ่นๆ ว่า

"สเปค" หรือ คุณสมบัติเครื่องคอมพิวเตอร์ที่รองรับการใช้งานโปรแกรมวิสต้าอย่างต่ำ ต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง?

โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ microsoft.com/windowsvista บอกไว้เบื้องต้น...

1. มีหน่วยประมวลผล 800 MHz

2. มี RAM 512 MB

3. ความจุฮาร์ดดิสก์ อยู่ที่ 20 GB บวก Free Sapce 15 GB

แต่ถ้าดูตามลักษณะการใช้งานแล้ว ควรเพิ่มตัวเลขคุณสมบัติเบื้องต้นตามที่ไมโครซอฟท์แนะนำมาอีกสัก 2 เท่า

เพราะถ้าดูตามสเปคที่บอกมา แค่ใส่โอเอสวิสต้าเข้าไปโปรแกรมเดียวก็แทบจะเต็มฮาร์ดดิสก์ทั่วๆ ไปอยู่แล้ว!

นั่นหมายความว่า สเปคคอมพิวเตอร์ที่จะลงวิสต้าในอนาคตควรมีหน่วยประมวลผล 1.6 GHz, RAM 1 GB, ฮาร์ดดิสก์ 40 GB

นอกจากนั้น การ์ดวิดีโอ-กราฟิก ก็ควรต้องมี RAM 64 MB ขึ้นไป

แต่ถ้าจะประหยัดเงินใช้ RAM 32 MB ก็รู้สึกว่าจะใช้ได้ เพียงแต่ตอนลงโปรแกรมนั้นตัววิสต้าจะออกคำสั่งให้ตัดฟีเจอร์บางอย่างออกไป เพื่อให้เหมาะสมกับสเปคเครื่องนั้นๆ

วันนี้ก็เก็บข่าวสารโลกไอทีมาบอกให้ท่านผู้อ่าน (ระดับใช้งานทั่วไป) ที่วางแผนจะซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่ทราบกันล่วงหน้า

พอถึงต้นปีหน้าจริงๆ ไม่แน่วิสต้าอาจเลื่อนไปคลอดกลางปีอีกก็ได้ครับ

Friday, May 19, 2006

"สมาร์ทเชิร์ต ซิสเต็ม" เสื้ออัจฉริยะตรวจหัวใจ

พยากรณ์กันว่า แนวโน้ม "เสื้อผ้า" ที่เตรียมผลิตออกมาจำหน่ายในอนาคต

จะมีส่วนผสมของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อยู่ด้วยไม่มากก็น้อย

ที่พอมองเห็นกันแล้วในปัจจุบันก็เช่น

เสื้อแจ๊คเก็ตที่ติดพัดลมในตัว รวมทั้งเสื้อที่มีเครื่องเล่นเพลงดิจิตอลฝังอยู่ข้างใน ซึ่งมีขายกันบ้างแล้วในญี่ปุ่น

ล่าสุดบริษัทเซ็นเซเท็กซ์ รัฐแมรี่แลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา กำลังคิดค้นต้นแบบนวัตกรรมเสื้ออิเล็กทรอนิกส์ หรือ เสื้ออัจฉริยะรุ่นใหม่สำหรับผู้ป่วยวัยชราที่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด

มีชื่อเรียกว่า "สมาร์ทเชิร์ต ซิสเต็ม"

สาเหตุที่มีคำว่า "อัจฉริยะ" กำกับอยู่ด้วยก็เพราะเนื้อผ้าฝ้ายของตัวเสื้อนั้นถักทอขึ้นมาโดยมีส่วนผสมของเส้นใย "ไฟเบอร์นำไฟฟ้า" ซึ่งมีความละเอียดและเล็กมากในระดับ "นาโน" แทรกซึมอยู่ในเนื้อผ้า

ไฟเบอร์นำไฟฟ้าเหล่านี้มีหน้าที่ตรวจสอบ "อัตราการเต้นของหัวใจ-ความถี่การหายใจ" ของผู้สวมใส่

จากนั้นจะส่งข้อมูลไร้สายออกไปยัง "คอมพิวเตอร์ประมวลผล" ซึ่งอยู่ในรูปแบบของนาฬิกาข้อมูล หรือ เครื่องพีดีเอ เพื่อให้แพทย์นำข้อมูลดังกล่าวไปวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว

ในการพัฒนาขั้นสมบูรณ์ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาอีก 1-2 ปีนับจากนี้ ทีมวิจัยเซ็นเซเท็กซ์ต้องการให้สัญญาณที่ส่งออกมาจากตัวเสื้อสามารถส่งไปไกลถึงตัวคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ของสถานพยาบาล เพื่อให้แพทย์รับรู้อย่างรวดเร็วในกรณีที่คนไข้เกิดหัวใจวายเฉียบพลัน

จริงๆ แล้วระบบเสื้ออัจฉริยะสมาร์ทเท็กซ์ตั้งใจพัฒนาขึ้นมาให้ทหารสหรัฐในสนามรบสวมใส่

แต่เซ็นเซเท็กซ์นำมาวิจัยต่อยอดเป็นเสื้อผู้ป่วยเพราะเห็นว่าจะมีประโยชน์ในวงกว้างมากกว่าครับ

ซื้อหนังจากเน็ต ยิ่งง่าย-ยิ่งน่ากลัว!

สำหรับคนที่ชอบซอกแซกหาหนังต่างประเทศดูฟรีตามเว็บไซต์ต่างๆ คงจะต้องเคยใช้บริการ "เบิร์น" ภาพยนตร์ออนไลน์ในเว็บไซต์มาเก็บไว้ในแผ่นดีวีดีกันบ้างแล้ว

หนึ่งในเว็บที่ดังด้านนี้ก็คือ cinemanow ซึ่งมีหลายบริษัทในสหรัฐร่วมลงขันเปิดขึ้นมา ประกอบด้วยค่ายหนังไลออนส์เกต ไมโครซอฟท์ ซิสโก้ซิสเต็มส์ และบล็อกบัสเตอร์

การดาวน์โหลดหนังจากเว็บจำพวกนี้มาเบิร์น หรือ มาบันทึกเก็บไว้ในฟอร์แมตดีวีดีเท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแผ่นเบิร์นจะเปิดดูได้เฉพาะกับคอมพิวเตอร์เท่านั้น

สาเหตุเพราะค่ายหนังยักษ์ใหญ่ต่างๆ กลัวว่าถ้าปล่อยให้ลูกค้าเบิร์นหนังลงดีวีดีแล้วนำไปใส่เครื่องเล่นดีวีดีธรรมดาเปิดดูกับโทรทัศน์ได้ก็จะทำให้ยอดขายดีวีดีมีลิขสิทธิ์ (ซึ่งมีราคาสูงกว่า) ต้องหล่นวูบ

ดังนั้น บริษัทหนังจึงต้องเขียนโปรแกมป้องกันการก๊อปปี้-ทำซ้ำติดมากับการเบิร์นดีวีดีแต่ละครั้ง ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "ซีเอสเอส" เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกค้านำดีวีดีที่เบิร์นแล้วไปเผยแพร่ต่อ

อย่างไรก็ตาม บริษัท "วิวิด เอนเตอร์เทนเมนต์" ของสหรัฐ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายหนังเรตเอ็กซ์รายใหญ่อันดับ 1 กำลังจะพลิกโฉมหน้าการดาวน์โหลดหนังจากเว็บไซต์ครั้งสำคัญ

โดยทางวิวิดจะเปิดให้ลูกค้าสามารถจ่ายเงินซื้อหนังผ่านเว็บ cinemanow ตามปกติ

เพียงแต่เวลาเบิร์นหนังดังกล่าวใส่ลงแผ่นดีวีดี จะนำไปเปิดด้วยเครื่องเล่นดีวีดีในบ้านเพื่อดูบนหน้าจอทีวีแบบเต็มตาได้เลย

สนนราคาค่าบริการดาวน์โหลดหนัง 1 ชุด อยู่ที่ 19.95 ดอลลาร์

แต่ไม่ใช่ว่าลูกค้าจะนำแผ่นเบิร์นไปเผื่อแผ่ให้เพื่อนๆ เบิร์นซ้ำได้ง่ายๆ เพราะทางวิวิดกับเว็บไซต์ผู้ให้บริการคิดวิธีป้องกันการทำซ้ำใหม่ล่าสุด

นั่นคือ ในแผ่นเบิร์นตัวต้นฉบับจะถูกเข้ารหัสห้ามก๊อปปี้ไปยังแผ่นอื่นเอาไว้ด้วย

งานนี้บริษัทหนังใหญ่ๆ ในฮอลลีวู้ดก็เลยยืนยิ้มกริ่ม ปล่อยให้วิวิดเป็น "หนูลองยา" ทดลองระบบบริการเบิร์นหนังจากเว็บลงดีวีดีชนิดใหม่นี้ไปก่อน ถ้าไปได้สวยแล้วค่อยทำตาม

กลุ่มคนปวดหัวหนักตอนนี้เห็นจะเป็นพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่ต้องหาวิธีดูแลไม่ให้หนังโป๊ออนไลน์บุกจู่โจมลูกๆ อย่างง่ายดายเข้าไปทุกวัน และที่สำคัญอย่าให้ลูกจอมซน รู้รหัสบัตรเครดิตเด็ดขาด เพราะหนังประเภทนี้ซื้อขายกับด้วยรหัสบัตรนี่แหละ!

"เอ็มทีวี"รุกตลาด ขายเพลงออนไลน์

ตลาดเพลง "ดิจิตอล" กำลังขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

จากการประเมินของสถานีโทรทัศน์ดนตรี 14 ชั่วโมง "เอ็มทีวี" ประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า

ยอดขายเพลงดิจิตอลผ่านเว็บไซต์อินเตอร์เน็ตนั้นคิดเป็นร้อยละ 5 ของยอดขายเพลงทั่วโลก

การกระจาย ประชาสัมพันธ์ และขายเพลงผ่านเว็บทำได้ง่าย รวดเร็ว และมีราคาถูก

แต่ข้อเสีย คือ การก๊อปปี้-ละเมิดลิขสิทธิ์ก็ทำได้ง่ายเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากธุรกิจนี้ยังมีพื้นที่ให้ตักตวงผลประโยชน์อีกมาก

ดังนั้นล่าสุด สื่อบันเทิงยักษ์ใหญ่อย่าง "เอ็มทีวี" ก็เลยขอกระโดดมาเป็นผู้เล่นในตลาดนี้ด้วยคน

ด้วยการเปิดบริการ "URGE" (www.urge.com) ซึ่งเปิดให้ลูกค้าดาวน์โหลด-ซื้อเพลงดิจิตอล รวมทั้งไฟล์มิวสิควิดีโอดิจิตอลของศิลปินต่างๆ ผ่านเว็บไซต์เอ็มทีวี

สนนราคาค่าบริการมี 2 แพ็กเกจ

เริ่มจาก 9.95 ดอลลาร์ (398 บาท) ต่อ 1 อัลบั้ม

หรือไม่อย่างนั้นก็อาจเลือกบริการดาวน์โหลดเพลงอย่างไม่จำกัดจำนวนมาฟังตลอด 2 เดือนเต็มในราคา 14.95 ดอลลาร์ (598 บาท)

การรุกคืบธุรกิจเพลงดิจิตอลของ "เอ็มทีวี" ไม่ได้จับมือเป็นพันธมิตรร่วมกับบริษัทแอปเปิ้ล ซึ่งเป็นเจ้าของเครื่องเล่นเพลงดิจิตอลที่มียอดขายอันดับ 1 ของโลกอย่าง "ไอพ็อด" ทำให้คนใช้ไอพ็อดเกือบ 100 ล้านเครื่องทั่วโลกใช้บริการ "URGE" ไม่ได้

แต่สำหรับเครื่องเล่นเพลงดิจิตอลอื่นๆ กว่าร้อยยี่ห้อในตลาด และผู้ใช้โปรแกรม "วินโดว์มีเดียเพลเยอร์" ก็สามารถใช้บริการนี้ได้ไม่มีปัญหาอะไร

พูดง่ายๆ เป้าหมายของ "เอ็มทีวี" คือ การเปิดศึกกับไอพ็อดโดยตรงนั่นเอง

งานนี้นอกจาก บริษัทเพลงสัญชาติอเมริกันจะได้ช่องทางเผยแพร่วัฒนธรรมดนตรีครอบงำชาวโลกแบบใหม่ๆ แล้ว ก็ยังได้เงินเข้ากระเป๋าไปในตัว

แต่ระยะยาวก็ต้องดูกันต่อไปว่าจะรุ่ง หรือ จะร่วง เพลงสำหรับคนอินเตอร์เน็ตแล้ว ชอบหาเพลงฟังฟรีมากกว่าจะต้องไปเสียเงินเสียทองซื้อให้ยุ่งยาก!

Monday, May 15, 2006

สวนสนุกดาวอังคาร

ดูเหมือนชะตากรรมของ "ดาวอังคาร" หรือ "ดาวแดง" (Mars) ซึ่งได้มาจากนามของเทพเจ้าสงครามเอเรส ที่คนตะวันตกโบราณหลายพันปีก่อนต่างก้มกราบไหว้ด้วยความยำเกรงนั้น

พอมาถึงยุคสมการ "เงิน=พระเจ้า" เช่นทุกวันนี้ ดาวแดงอันน่าสะพรึงกลัวก็กำลังกลายเป็น "สวนสนุก" ให้พลเมืองโลกผู้มีเงินถุงเงินถึงขี่ยานอวกาศไปเที่ยวเล่นกระทบไหล่เทพเจ้ากันอย่างง่ายๆ

ที่ผ่านมา แนวทางการสำรวจดาวอังคารพอจะถือได้ว่าเป็นไปเพื่อ "มวลมนุษยชาติ" แม้จะมีรัศมีการแข่งขันทางการเมืองระหว่างประเทศมหาอำนาจทาบทับอยู่

ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่ชาวโลกนำไปใช้กับดาวดวงนี้เคยมุ่งไปในทิศทางแห่งการศึกษาเพื่อเข้าใจจักรวาล

เมื่อเริ่มปีกกล้าขาแข็งส่งยานหุ่นยนต์ไปลงจอดบนพื้นผิวได้สำเร็จ ก็เริ่มคิดไปไกลถึงการโอนประชากรบางส่วนที่มีอยู่ล้นโลกออกไปตั้งนิคมมนุษย์แห่งใหม่ ด้วยเชื่อว่าบนพื้นผิวดาวแดงมีลักษณะธรณีวิทยาบ่งชี้ว่าน่าจะมีแหล่งน้ำหลบซ่อนอยู่ อาทิ ร่องลึกคล้ายธารน้ำ

แต่พลันที่องค์การอวกาศสหรัฐ "นาซ่า" ผู้เป็นหัวหอกสำรวจดาวแดงประสบปัญหา "ถังแตก" บวกกับการที่รัฐบาลสหรัฐปรับเปลี่ยนนโยบายต้องการส่งคนไปเหยียบดวงจันทร์เป็นครั้งที่ 2 ทำให้ทุนสำรวจดาวแดงลดวูบ

สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ "กลุ่มธุรกิจเอกชน" หลายกลุ่มเสนอตัวเป็นแกนนำเหยียบดาวแดงแทนหน่วยงานของรัฐ

หนึ่งในนั้น ได้แก่ "ปีเตอร์ เดียแมนดิส" ผู้ริเริ่มการแข่งขันอากาศยานความเร็วสูง "เอ็กซ์ไพรซ์" ซึ่งกำลังขายไอเดียใหม่ในการระดมทุนมหาศาล 2 พันล้านดอลลาร์ (8 หมื่นล้านบาท) เพื่อใช้ส่งมนุษย์ไปเที่ยวและตั้งฐานอยู่บนดาวแดงภายในปี 2573

วิธีการที่ปีเตอร์เสนอก็คือขอรับ "เงินบริจาค" จากประชากรโลก 90,000 คน คนละ 10,000 ดอลลาร์ ตามด้วย 10,000 คน บริจาคคนละ 100,000 ดอลลาร์ และอภิมหาเศรษฐี 100 คน อีกคนละ 1 ล้านดอลลาร์

หลังจากได้เงินมาแล้วก็จะนำไปสร้างยานอวกาศ และหุ่นยนต์ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานบนดาวแดง เช่น เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์

เมื่อทุกอย่างพร้อม ทีมงานก็จะใช้วิธีเสี่ยงโชคคัดเลือกคนจากกลุ่มผู้บริจาค 101 คนขึ้นยานไปเสพประสบการณ์บนดาวแดง

งานนี้ถ้าทำได้สำเร็จจริง ก็ไม่รู้ว่าเทพเอเรสท่านจะย้ายบ้านหนี หรือไล่ตะเพิดมนุษย์เศรษฐีกลุ่มนี้เผ่นกลับโลกแทบไม่ทัน!?

Friday, May 12, 2006

'ยูเอฟโอ'เรื่องแหกตา-ไม่มีจริง

กระทรวงกลาโหม ประเทศอังกฤษ หรือ "เอ็มโอดี" นี่คิดไปไกล

ถึงขนาดมีการวางแผนรับมือ "สิ่งมีชีวิตจากต่างดาวบุกโลก" กันเลยทีเดียว

สิ่งมีชีวิตจากต่างดาวที่ขี่ยานอวกาศมายังโลก เรียกชื่อสั้นๆ ได้ว่า "จานผี-ยูเอฟโอ" (Unidentified Flyimg Objects : UFO)

ในทุกประเทศทั่วโลก ต้องมีคนในชาตินั้นๆ อ้างว่า เคยพบเคยเห็นยูเอฟโอลอยลิ่ว เปล่งแสงวูบวาบอยู่บนฟากฟ้า

เช่น ในสหรัฐหลายสิบปีก่อน จุดที่ชาวบ้านระบุว่าเห็นยูเอฟโอบินว่อนบ่อยๆ ได้แก่ บริเวณฐานทัพแอเรีย 51 รัฐเนวาดา

ซึ่งในปัจจุบันนี้ข้อมูลบางส่วนเริ่มคลี่คลายออกมาในลักษณะที่ว่า ยูเอฟโอที่ชาวบ้านเห็นสมัยก่อนแท้จริงแล้วเป็นต้นแบบอากาศยานรบใหม่ๆ ของกองทัพสหรัฐ เช่น เครื่องสเตลธ์

ส่วนประเทศอังกฤษเนื่องจากในอดีตมีอาณานิคมมากมาย รายงานเรื่องการพบเห็นยูเอฟโอจึงมีมากหน่อยเป็นธรรมดา

หลังจากใช้เวลาสืบสาวข้อเท็จจริงอยู่หลายปี ในที่สุดกระกรวงกลาโหมอังกฤษก็จัดทำรายงานลับหนา 400 หน้า เรื่อง "Unidentified Aerial Phenomena in the UK Air Defence Region" สรุปว่า

จนถึงทุกวันนี้ไม่มีหลักฐานใดๆ สามารถยืนยันได้ว่า เคยมียูเอฟโอเดินทางเข้ามายังโลกใบนี้

แสงวาบและวัตถุลึกลับบนท้องฟ้าที่ผู้คนคิดว่าเป็นยูเอฟโอ ในความเป็นจริงแล้วก็คือภาพซึ่งเกิดขึ้นจากปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ

นั่นคือ ปรากฎการณ์ดาวตก อุกกาบาต

รวมไปถึงสภาพความเปลี่ยนแปลงตามหลักฟิสิกส์ เช่น ประจุไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นใน "ชั้นบรรยากาศ" โซสเฟียร์และชั้นไอโอโนสเฟียร์

แต่ความจริงมนุษย์นี่ไม่ต้องกลัวยูเอฟโอมาทำลายโลกหรอกครับ

แค่รุมโทรมโลกด้วยมือตัวเองอยู่ทุกวันนี้ก็แทบจะระเบิดเป็นจุณอยู่แล้ว!?!

Thursday, May 11, 2006

บัญญัติ 10 ประการ สู่ชีวิตยืนยาวและแข็งแรง

ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการแพทย์ยุคปัจจุบัน ช่วยให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น แม้จะตกอยู่ในสภาพ "มนุษย์ผัก" ก็ตาม

คำว่า "ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ" เป็นพรวิเศษสุดที่มนุษย์ทุกคนคงอยากให้กลายเป็นจริง แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะร่างกายย่อมทรุดโทรมไปตามกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขาดการออกกำลังกายและถูกโรครุมเร้า

วิธีปฏิบัติตัวเพื่อรักษาชีวิตให้ยืนยาวอย่างแข็งแรงมีหลายรูปแบบ บางวิธียังเป็นเรื่องง่ายๆ ที่อาจมองข้ามไป แต่นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้มองข้าม นิตยสารฟอร์บส์ ไปรวบรวมงานวิจัยเคล็ดลับยืดชีวิตมนุษย์มาเผยแพร่ และถอดความพากษ์ไทยได้นับจากบรรทัดต่อไปนี้


1. อย่านอนกินบ้านกินเมือง
วารสารจิตเวชศาสตร์ทั่วไป ในสหรัฐอเมริกา ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่พบว่า คนที่นอนเกินคืนละ 8 ชั่วโมงต่อวันมีความเสี่ยงเสียชีวิตเร็วกว่าคนอื่น อย่างไรก็ตาม คนที่นอนน้อยกว่าคืนละ 4 ชั่วโมงก็มีโอกาสตายเร็วเช่นกัน

ทางออกดีที่สุด คือ นอนพอดีๆ วันละ 6-7 ชั่วโมง เพราะพบว่าคนกลุ่มนี้มีอายุยืนยาวที่สุด

2. มองโลกในแง่ดี
นักวิจัยประจำเมโย คลินิก เมืองโรชสเตอร์ รัฐมินเนโซตา สหรัฐ พบว่า "คนมองโลกในแง่ดี" มีแนวโน้มมีชีวิตยืนยาวกว่า "คนมองโลกแง่ร้าย" ถึง 50 เปอร์เซ็นต์

ข้อมูลรองรับสมมติฐานดังกล่าวก็คือ คนมองโลกแง่ดีมีความเครียดน้อยกว่าคนทั่วไป ไม่ปล่อยให้สุขภาพจิตและร่างกายของตนเองตกต่ำยามต้องเผชิญกับปัญหา นอกจากนั้น ยังมีความดันโลหิตต่ำกว่าพวกชอบขวางโลกอีกด้วย


3. "เซ็กซ์เซอร์ไซส์"
เซ็กซ์ หรือ การมีเพศสัมพันธ์เป็นการออกกำลังที่ดีชนิดหนึ่ง (ถ้ามีความพร้อม)

ถ้าเป็นเซ็กซ์ที่เต็มไปด้วยความรักก็จะยิ่งสร้างความผูกพันระหว่างคนสองคน ทำให้ชีวิตมีความสุข ไม่เครียด โอกาสป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจก็จะลดลง

วารสารสมาคมการแพทย์อเมริกา ฉบับเมษายน ปี 2547 รายงานไว้ว่า สำหรับคุณผู้ชาย การหลั่งน้ำอสุจิอย่างสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก

4. สัตว์เลี้ยงเพื่อนใจ
ดร.เอริกา ฟรายด์แมน นักวิจัยอเมริกัน ศึกษาพบว่า การเลี้ยง "สัตว์เลี้ยง" ส่งผลดีทางจิตวิทยาต่อคนเราหลายประการ

เช่น ช่วยคลายความโดดเดี่ยว ป้องกันอาการซึมเศร้า ช่วยเรียกเสียงหัวเราะ และบังคับให้เดินออกกำลังบ่อยขึ้นไปในตัว นอกจากนั้น คนที่มีสัตว์เลี้ยงจะเครียดน้อยกว่าคนที่ไม่มี

5. เลิกสูบบุหรี่
ข้อนี้คงแทบไม่ต้องบอกกันแล้วว่าการสูบบุหรี่ในระยะยาวส่งผลเสียต่อสุขภาพขนาดไหน

สิงห์อมควันมักอ้างว่าไหนๆ การลงทุนสูบมาตั้งหลายสิบปีก็สูบต่อไปเถอะ เพราะคงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว

แต่ผลวิจัยชี้ว่า ถึงแม้คุณจะอยู่ในวัยกลางคน แต่ถ้าเลิกบุหรี่เสียตั้งแต่วันนี้ช่วยให้ความเสี่ยงป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากลดลง เช่นเดียวกับมะเร็งระบบทางเดินหายใจ

6. หัดพักผ่อน"ชิลล์ชิลล์"
ผลการศึกษาของวิทยาลัยการแพทย์ มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ ระบุว่า คนขี้โมโห ฉุนเฉียว โกรธง่าย เอะอะไรก็เครียด มีโอกาสป่วยเป็นโรคหัวใจก่อนวัยอันควรถึง 3 เท่า และเสี่ยงหัวใจวายตายก่อนอายุ 55 ปี

วิธีแก้ปัญหานี้ทำได้ง่ายๆ อย่าแบกโลกไว้บนบ่าจนทำให้ตัวเองรู้สึกย่ำแย่เกินไป หัดไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจบ้าง

ที่สำคัญอย่าลืมคาถา "ยิ้มสู้โลก" เพราะขณะคุณหัวเราะนั้นระดับฮอร์โมนความเครียด เช่น คอร์ติซอลและอะดรีนาลีน ในร่างกายจะลดลง และปล่อยสารแห่งความสุขอย่าง "เอนโดรฟีน" ออกมาแทน ทำให้รู้สึกสบายและยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

7. อาหารต้านอนุมูลอิสระ
การรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ คือ หลักสำคัญในการดูแลสุขภาพอยู่แล้ว

แต่ควรเพิ่มการทานอาหารที่มี "สารต้านอนุมูลอิสระ" ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ร่างกายเสื่อมสภาพเร็วเกินไป

สารต้านอนุมูลอิสระพบมากในอบเชย พืชตระกูลถั่วบางชนิด ได้แก่ ถั่วแดง ถั่วเหลือง เมล็ดทานตะวัน งา ข้าวโพด ข้าวกล้อง ฝรั่ง ส้ม มะขามป้อม ส้ม ผลไม้จำพวกบลูเบอร์รี่ ผลเบอร์รี่ มะเขือเทศ เกรฟฟรุต

8. วิวาห์พาสุข
"วิวาห์พาสุข" ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแต่งงานกับคนรวยจะได้มีเงินใช้เยอะๆ แต่ต้องการบอกว่าเวลาเลือกคู่ครองให้ลองดูเสียหน่อยว่า ญาติๆ ของคู่สมรส ไม่ว่าจะเป็นปู่ ย่า ตา ยาย ยังมีชีวิตอยู่ดีหรือไม่

ถ้ายังอยู่ก็ตีความได้ว่าทั้งคู่ของคุณและลูกที่กำลังจะเกิดมามีแนวโน้มอายุยืนเหมือนกัน ตามข้อมูลจากวารสารแมคคานิซึ่มส์ ออฟ เอจจิ้ง แอนด์ ดีเวลล็อปเมนต์ ในสหรัฐ ตีพิมพ์งานวิจัยที่ระบุว่า "ความมีอายุยืน" นั้นส่งผ่านกันได้ทางพันธุกรรมไปประมาณ 3 ชั่วอายุคน

9. "อ้วน"อันตราย
ดร.เดวิด เฟน ผู้อำนวยการการแพทย์ ศูนย์อายุยืนยาวพรินซ์ตัน ในนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐ กล่าวว่า ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไป หรือเป็นโรคอ้วนก็เปรียบได้กับกำลังมีระเบิดเวลาอยู่ในตัว ที่พร้อมจะทำให้เจ้าของร่างกายล้มป่วยด้วยสารพัดโรคตลอดเวลา ทั้งโรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน ฯลฯ

วิธีลดความอ้วนที่ดีที่สุด คือ ลดปริมาณการบริโภคอาหาร แต่ควบคุมไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็น ถ้าไม่ลดอาหาร ถึงจะออกกำลังกายเท่าไหร่น้ำหนักจะลงยากมาก

10. พลังสมาธิ
ผลการศึกษาของดร.วู้ดสัน เมอร์เรลล์ แห่งโรงพยาบาลเบธอิสราเอล นครนิวยอร์ก สหรัฐ พบว่า การนั่งสมาธิเป็นเครื่องมือที่มีอานุภาพสูงสุดในการดูแลสุขภาพทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ

การนั่งสมาธิเพียง 15 นาทีจะส่งผลดีเท่ากับการนอนหลับลึกกว่า 1 ชั่วโมง ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ลดความเครียด มีจิตใจแจ่มใสไม่วอกแวกง่ายๆ

ภัยธรรมชาติ ใกล้ตัว-แต่ละเลย

มนุษย์มักไม่ค่อยจำบทเรียนจากธรรมชาติ

นั่นคือ หนึ่งในข้อสรุปที่หลุดออกมาจากวงประชุมสมาคมวิทยาศาสตร์ ประเทศอังกฤษ

ข้อมูลจากที่ประชุมดังกล่าว ระบุว่า

ในอนาคตอันใกล้ (หมายถึงช่วงเวลา 1 ช่วงอายุคนของคนยุคนี้) โอกาสที่ภัยธรรมชาติครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นในแต่ละปีอยู่ที่ระดับ 1%

แต่พอเข้าสู่ยุคของคนยุคหลัง หรือ คนรุ่นลูกหลาน ความเสี่ยงที่โลกต้องเผชิญกับพิบัติภัยธรรมชาติใหญ่ๆ จะเพิ่มเป็นเกือบ 100%

โดยรูปแบบของภัยธรรมชาติที่ว่านี้จะมาในลักษณะของสิ่งที่เรียกว่า

"อุบัติการณ์ความเปลี่ยนแปลงทางธรณีฟิสิกส์ของโลก" (Global Geophysical Events)

อันประกอบด้วย "ภัยคลื่นยักษ์" ซึ่งมีอำนาจทำลายล้างเมืองชายฝั่ง หรือ เกาะให้พินาศถูกลบหายไปจากแผนที่โลก

นอกจากนั้นก็ยังมีภัยจาก "การระเบิดครั้งใหญ่ของภูเขาไฟ" (ซุปเปอร์วัลเคโน่) ที่จะพ่นเถ้าถ่านปกคลุมพื้นที่รัศมีใหญ่โตถึง 1,500 กิโลเมตรโดยรอบ บดบังท้องฟ้าจนมืดมิด

รวมถึงเหตุการณ์ "อภิมมาแผ่นดินไหว"

และหายนะภัยของมวลมนุษย์ชาติซึ่งอาจเกิดจากการที่ "ดาวเคราะห์น้อย" พุ่งชนโลก

ที่ประชุมแสดงความเห็นว่า นับตั้งแต่เกิดเหตุวินาศกรรมสหรัฐอเมริกา 11 กันยายน 2544 เป็นต้นมา

รัฐบาลของประเทศต่างๆ ทุ่มความสนใจไปกับการแก้ไขปัญหาภัยก่อการร้ายมากเกินไป

จนหลงลืม ละเลย ไม่ใส่ใจเตรียมความพร้อม "รับมือ" กับวิกฤตภัยธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นกับคนรุ่นหลัง

ใครเห็นด้วยยกมือขึ้น!?!

Monday, May 08, 2006

เกมเสมือนจริง

เห็นคนกำลังกระโดดโลดเต้นอยู่ในภาพนี้ไม่ใช่ว่ากำลังเล่นแอโรบิก หรือ ออกกำลังกายลดความอ้วนแต่อย่างใด

เพราะแท้จริงแล้วคนๆ นี้กำลังเล่น เกมคอมพิวเตอร์

และออกลีลากังฟู กระโดดเตะใบหน้าของคู่ต่อสู้ที่อยู่ในจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่!

เกมคอมพิวเตอร์แนวต่อสู้เสมือนจริงดังกล่าว มีชื่อว่า คิก แอส กังฟู

เป็นผลงานการพัฒนาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์

วิธีการบังคับควบคุมเกมไม่ได้ทำโดยการกดปุ่มจอยสติ๊กเหมือนกับเกมตามท้องตลาดทั่วๆ ไป

แต่จะใช้ร่างกายของผู้เล่น เป็นตัวควบคุมการต่อสู้ด้วยตัวเอง

ระบบการทำงานของเกมๆ นี้จะมีการติดตั้งกล้องวิดีโอบันทึกภาพอยู่ทางด้านข้างของผู้เล่น

จากนั้นภาพการต่อสู้ ทั้งเตะ ต่อย ใช้หัวโขก รวมถึงท่าทางการเคลื่อนไหวของผู้เล่นจะถูกส่งผ่านไปยังระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อแปลงท่าทางผู้เล่นให้ออกมาเป็นเงา ปรากฎอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์

เช่น เมื่อผู้เล่นชกเข้าที่ใบหน้าของคู่ต่อสู้ ก็จะมีเงาหมัดของผู้เล่นไปปรากฎบนหน้าจอและพุ่งไปชกหน้าศัตรู

ส่วนวายร้ายที่เป็นตัวละครในเกมๆ นี้มีฝีมือไม่ใช่ย่อยๆ เพราะทางโปรแกรมเมอร์ใช้วิธีการบันทึกข้อมูลเลียนแบบมาจากลีลาการต่อสู้ของผู้เชี่ยวชาญกังฟูตัวจริงเสียงจริง

ทีมงานผู้พัฒนาเกม บอกว่า นอกเหนือจากความสนุกที่ได้จากการเล่นเกมแล้ว ก็ยังเป็นการออกกำลังกายและฝึกศิลปะการต่อสู้ไปในตัว

สำหรับขั้นตอนต่อไปจะต้องพัฒนาระบบให้สามารถนำไปติดตั้งเล่นได้ในห้องรับแขก ซึ่งมีพื้นที่จำกัด

ห่วงอยู่อย่างเดียวตอนวางจำหน่าย ไม่รู้จะมีใคร หรือ องค์กรไหนลุกขึ้นมาต่อต้านรึเปล่าว่า เล่นเกมนี้แล้วยิ่งทำให้เด็กก้าวร้าวขึ้นจนอยากออกไปซัดกับคนจริงๆ!?

"ฤดูกาล"กับการฆ่าตัวตาย

ข่าวจากอังกฤษบอกว่า "การฆ่าตัวตาย" สัมพันธ์ กับ "เดือนเกิด" ของมนุษย์เราครับ!

สมมติฐานข้างต้นได้มาจากการศึกษาค้นคว้าของคณะนักวิทยาศาสตร์อังกฤษจากหลายสถาบัน

ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล เซนต์เฮเลน และสถาบันสุขภาพเด็ก มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน

วิธีการศึกษามาจากการวิเคราะห์เดือนเกิดของประชากรในอังกฤษและแคว้นเวลส์ 26,916 คน ซึ่งจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย

ผลลัพธ์จากการแยกแยะข้อมูลพบว่า ในจำนวนกลุ่มตัวอย่างเกือบ 30,000 คนที่ว่านี้

คนที่เกิดในช่วง "หน้าร้อน-ฤดูใบไม้ผลิ" ระหว่างเดือนเม.ย.-มิ.ย. เป็นกลุ่มที่ฆ่าตัวตายมากที่สุด

ส่วนคนเกิด "หน้าหนาว" ฆ่าตัวตายน้อยที่สุด

นอกจากนั้น ยังพบด้วยว่า คนเกิดหน้าร้อนยังมีแนวโน้มป่วยด้วยอาการแอลกอฮอลิก (ติดเหล้า) และมีอาการทางจิต เช่น อารมณ์แปรปรวน-ซึมเศร้าก่อนจะลงมือปลิดชีพตัวเอง

โดยคณะนักวิทยาศาสตร์อังกฤษ เชื่อว่า ต้นตอทำให้คนเกิดหน้าร้อนมีแนวโน้มฆ่าตัวตายง่ายกว่าคนเกิดช่วงฤดูกาลอื่น

เป็นเพราะระดับของ "อุณหภูมิ" ในหน้าร้อน ส่งผลกระทบต่อรูปแบบการจัดเรียงตัว รวมถึงพัฒนาการเจริญเติบโตของ "เซลล์สมอง"

ขณะเดียวกัน ในส่วนของคนเกิดฤดูหนาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเดือนธันวาคมนั้น ผลวิจัยพบว่ามีแนวโน้มล้มป่วยด้วยอาการผิดปกติทางสมอง เช่น อัลไซเมอร์ จิตเภท ลมบ้าหมู หรือนอนไม่หลับมากกว่าคนเกิดเดือนอื่นๆ

สาเหตุคาดว่ามาจากการที่ร่างกายของ "มารดา" ได้รับแสงแดดน้อยขณะตั้งครรภ์ ทั้งยังมีความเสี่ยงสูงต่อการติดไวรัสบางชนิดที่ระบาดได้ดีในช่วงอากาศเย็น

ต้องย้ำว่าผลวิจัยนี้ยังอยู่ในขั้น "สมมติฐาน" เท่านั้น ส่วนจะเท็จจริงขนาดไหนคงต้องศึกษากันต่อไปอีกหลายสิบปีครับ

เคล็ดลับสื่อรัก

บางคนบอกไว้ว่า "รัก" เป็นนามธรรม ยากแก่การอธิบายว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

แต่นักวิทยาศาสตร์หลายกลุ่มก็พยายามศึกษา ว่า มีหนทางหรือเคล็ดลับที่เป็นรูปธรรมอะไรบ้างที่จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและดึงดูดใจให้กับทั้งผู้ชายและผู้หญิง เพื่อจะได้หาเนื้อคู่ตุนาหงันมาเคียงกายกันง่ายขึ้น

นิตยสารวิทยาศาสตร์ "นิว ไซเอินทิสต์" ฉบับล่าสุดไปรวบรวมผลการศึกษาหลายชิ้น ซึ่งบ่งชี้ว่า "แรงดึงดูดใจ-อาการปิ๊งรักแรกพบ" สามารถสร้างกันได้ด้วย 6 วิธีการ ต่อไปนี้

พ่อสื่อชื่อ"กลัว" : ผลการทดลองช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1970 พบว่า คนที่ตกอยู่ในภาวะตกใจ ตื่นกลัว จะรู้สึกว่าเพศตรงข้ามมีหน้าตารูปลักษณ์ชวนมองเซ็กซี่กว่าปกติ ถ้าอยากพิสูจน์ทฤษฎีนี้ให้หนุ่มๆ ทดลองพาผู้หญิงที่แอบชอบไปนั่งรถไฟเหาะตีลังกาด้วยกัน

ภาษากาย : เมื่อต้องพบกับคนแปลกหน้า ความประทับใจแรกพบ 55 เปอร์เซ็นต์เกิดขึ้นจากลักษณะ "ภาษากาย" ที่คนแปลกหน้าคนนั้นสื่อสารออกมา และคนทั่วไปจะชอบคนที่ทำกิริยาท่าทางคล้ายกับตนเอง พูดง่ายๆ ถ้าอยากทำให้ "เป้าหมาย" ปิ๊งคุณง่ายขึ้นก็ให้ลองแสดงภาษากายเหมือนกับเขาหรือเธอคนนั้น และอย่ากอดอก เพราะจะดูเหมือนคนชอบปิดกั้นตัวเอง

เพลงเสริมหล่อ : นักจิตวิทยา มหาวิทยาลัยนอร์ธอดัมส์ สหรัฐ ค้นพบว่า เมื่อให้ผู้หญิงมองภาพของผู้ชายพร้อมๆ กับเปิดเพลง "ซอฟต์ร็อค" หวานๆ ให้ฟัง สาวๆ จะเห็นว่าผู้ชายในภาพหน้าตาดีขึ้น

ช็อกโกแลต : ในช็อกโกแลตมีสารเคมี "Phenylethyamine" เมื่อรับประทานเข้าไปจะทำรู้สึกเคลิบเคลิ้ม มีความสุข แต่ถ้ากินมากไปก็อ้วนเผละเท่านั้นเอง

สบตาเห็นหัวใจ : ในกรณีที่มีแนวโน้มว่าจะจีบสำเร็จ ให้จ้องตาเอาไว้บ่อยๆ เพื่อเพิ่มความรู้สึกใกล้ชิดและทำให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าคุณสนใจในตัวเขาจริงๆ

ตลกเพื่อรัก : การปล่อยมุขตลก ขำขันในวงสนทนาช่วยให้คนแปลกหน้ารู้สึกเป็นกันเองและกล้าใกล้ชิดกันมากขึ้น นอกจากนั้น การหัวเราะยังช่วยให้ร่างกายผลิตสารเอนโดรฟิน ทำให้รู้สึกสบายตัวสบายใจ ดูท่าคำพูดที่ว่า "ตลกมักมีแฟนสวย" คงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น..

ยังไงวันนี้ก็อ่านพอเพลินๆ สนุกๆ ใครจะลองนำไปปฏิบัติดูก็ได้ แต่อย่าลืมเพิ่ม "ความจริงใจ" เข้าไปด้วยนะครับ!

เมืองไฮโดรเจน เลิกพึ่งพาน้ำมัน!?

ปีหน้า 2550 ในประเทศเดนมาร์กจะมีการตอกเสาเข็มต้นแบบโครงการด้านพลังงานครั้งสำคัญ

นั่นคือ โครงการ "H2PIA" ซึ่งเป็นการสร้างชุมชน หรือ เมืองจำลองขนาดย่อมๆ ที่ใช้ "ไฮโดรเจน" เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เมืองแรกของโลก

"H2PIA" เกิดจากความร่วมมือระหว่างกลุ่มนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ วิศวกร สถาปนิก และนักวางแผนชุมชนในเดนมาร์ก

คนกลุ่มนี้มีความเห็นตรงกันว่าในอีก 20 ปีนับจากนี้ โลกจะต้องผลิตพลังงานประเภทน้ำมัน-ก๊าซธรรมชาติมากกว่ายุคปัจจุบันราวๆ 66 เปอร์เซ็นต์ เพื่อตอบสนองความต้องการบริโภคพลังงานของทั้งมนุษย์และยานพาหนะ

ถ้าสังคมมนุษย์ยังคงพึ่งพิงน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซ เช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นอันตรายต่อทั้งสภาพการดำเนินชีวิตและธรรมชาติ

ชุมชน "H2PIA" คือความพยายามส่วนหนึ่งที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว

เนื่องจากพลังงานในเมืองๆ นี้จะมาจาก "พลังงานหมุนเวียนตามธรรมชาติ" และ "ไฮโดรเจน" ทั้งหมด

ตามแผนการที่วางไว้ พื้นที่ชานเมือง "H2PIA" จะมีการก่อสร้างแผงเซลล์สุริยะและเทอร์ไบกังหันลม

ขั้นต่อมา กระแสไฟฟ้าที่ได้จากเซลล์สุริยะกับกังหันลมนั้นเมื่อเหลือจากการป้อนให้กับตัวเมืองแล้ว ก็จะส่งเข้าสู่โรงงานเพื่อใช้ในกระบวนการแยกธาตุ "ออกซิเจน" และ "ไฮโดรเจน" ออกจาก "น้ำ"

จากนั้นก็แปลงสภาพไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า-ให้ความร้อนในช่วงที่กำลังการจ่ายไฟจากเซลล์สุริยะและกังหันลมลดต่ำลง รวมทั้งนำไฮโดรเจนมาผลิตเป็น "เซลล์เชื้อเพลิง" สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

ทีมงาน "H2PIA" ยอมรับว่า มีคนมองว่าโครงการนี้ฝันเฟื่องไกลจากความเป็นจริงมากเกินไป

แต่พวกตนก็พร้อมจะลงมือทำเพื่อช่วยวางรากฐานเล็กๆ ให้กับสังคมมนุษย์ในอนาคตที่ถึงที่สุดแล้วต้องพัฒนาไปสู่ "สังคมสีเขียว" พึ่งพาพลังงานสะอาดจากธรรมชาติเป็นหลัก

"ขนกลหุ่นยนต์" แทนรถเข็นผู้พิการ

ภาพประกอบที่เห็นนี้ก็คือ "ขาหุ่นยนต์" รุ่น "ดับเบิลยูแอล-16 อาร์ทรี"

หุ่นยนต์ดังกล่าวใช้เวลาพัฒนาร่วม 3 ปีเต็มแล้ว เกิดจากความร่วมมือระหว่างทีมงานของศาสตราจารย์อัตสุโอะ ทาคานิชิ อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยวาเซดะ กับ บริษัททะมะสุ

เป้าหมายสูงสุดเพื่อใช้เป็น "ขาหุ่นยนต์" หรือ "ขากล" พา "คนชรา" และ "ผู้พิการ" เดินเหินไปไหนมาไหนสะดวกขึ้น แม้จะเคลื่อนที่ไปในระยะไม่ไกลนักก็ตาม

แทนที่จะนั่ง "รถเข็น" ก็ใช้ขากลเป็นเหมือน "ขาเทียมไฮเทค" แทน

โครงการนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2546 จากนั้นจึงค่อยๆ พัฒนาเรื่อยมา

จนในที่สุดทีมงานสามารถทำให้ขาหุ่นยนต์ก้าวเดินขึ้นลงบันไดได้อย่างปลอดภัย

นอกจากนั้น ยังทรงตัวได้ในสภาวะที่เดินไปเหยียบสิ่งกีดขวางบนพื้น

โฆษกบริษัททะมะสุ ระบุว่า ดับเบิลยูแอล-16 อาร์ทรี จะพร้อมนำออกมาทดลองใช้งานจริงๆ ในอีกประมาณ 1-2 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม มันยังมีข้อจำกัดตรงที่ยังต้องใช้ "มือ" ควบคุม "คันบังคับ" เพื่อสั่งให้ขากลขยับไปในทิศทางต่างๆ

ซึ่งทำให้ผู้พิการทั้งแขนและขาใช้งานหุ่นรุ่นนี้ไม่ได้

แต่ในอนาคตอย่างน้อยๆ 5 ปีต่อจากนี้ เชื่อว่าทีมงานจะคิดค้นวิธีการควบคุมขากลแบบใหม่ที่ไม่ต้องใช้มือ หรือ แขนได้สำเร็จ

หุ่นยนต์กิมจิ

รัฐบาลเกาหลีใต้ ดาวรุ่งพุ่งแรงด้านสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งเป้าหมายไว้ว่า

ภายใน 7 ปีต่อจากนี้ ต้องยกระดับอุตสาหกรรม "หุ่นยนต์" แดนกิมจิ ให้ครองส่วนแบ่งในตลาดโลกถึงร้อยละ 15

ประเมินแนวโน้มทิศทางการผลิตหุ่นยนต์จากประเทศใหญ่ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น รวมถึงเกาหลีใต้ เชื่อว่า

เบื้องต้นน่าจะเป็นการส่งหุ่นยนต์เพื่อให้ความบันเทิง รวมถึงหุ่นยนต์ช่วยทำงานบ้านออกมาวางจำหน่าย เพราะทำท่าขายง่ายที่สุด

ตัวอย่าง เช่น ในสหรัฐ เมื่อปี 2547 ยอดขาย "หุ่นยนต์ทำความสะอาด" อยู่ที่ 6,000 ตัว แต่มาถึงปี 2548 กลับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็น 30,000 ตัว

ในส่วนของเกาหลีใต้ รู้ตัวเองดีว่ายังตามหลังทั้งสหรัฐและญี่ปุ่นอยู่ในเรื่องการออกแบบรูปร่างหน้าตาและกลไกการทำงานอันซับซ้อนของฮาร์ดแวร์หุ่นยนต์

เพื่อลบข้อด้อยดังกล่าว นโยบายการบุกตลาดหุ่นยนต์ของเกาหลีใต้จึงพุ่งเป้าในประเทศก่อน เนื่องจากมีการวางโครงสร้างอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงไว้เป็นอย่างดีแล้ว

นั่นหมายความว่า แทนที่อุตสาหกรรมหุ่นยนต์กิมจิจะเน้นพัฒนาฮาร์ดแวร์ ก็มุ่งไปที่การพัฒนาให้หุ่นยนต์มีระบบดาวน์โหลดข้อมูลและสั่งงานผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตทั้งแบบไร้สาย-มีสายอย่างง่ายดาย

ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ หุ่นกิมจิจะมี "ราคา" ต่ำกว่าหุ่นจากสหรัฐกับญี่ปุ่น นอกจากนั้น ยังมีลักษณะบางประการคล้ายกับคอมพิวเตอร์

อาทิ สั่งให้มันโหลดข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพยากรณ์อากาศ ข่าวสาร รวมถึงดาวน์โหลดไฟล์มัลติมีเดียมาเล่น และสามารถสั่งงานผ่านระบบ "บลูทูธ" ไร้สาย

แต่คาดว่าหุ่นยนต์กิมจิก็ต้องปรับโฉมให้สวยงามน่ามอง ไม่ดูเหมือนของเล่นไปด้วยพร้อมๆ กัน เพราะดูเหมือนว่าผู้คนทุกวันนี้ติดภาพลักษณ์เอาการ

ถึงจะ "ใช้ดี" แต่ "ดูเชย" ก็คงขายยากไม่ใช่เล่นครับ