Thursday, April 26, 2007

"มือถือ"มา-พา"ผึ้ง"หาย!

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2550 ที่ผ่านมา ในสหรัฐอเมริกา มีข่าว "สิ่งแวดล้อม" เกี่ยวกับ "ผึ้ง" ชิ้นเล็กๆ แต่นำเสนอข้อมูลเอาไว้อย่างแปลกประหลาด ว่า

ปรากฏการณ์ "Colony Collapse Disorder" (CCD : ซีซีดี) ได้หวนกลับมาเล่นงานผึ้งในสหรัฐอีกครั้ง

หนนี้จู่ๆ เกษตรกรผู้เลี้ยงผึ้งใน 22 มลรัฐ ก็พบว่า

ผึ้งที่ตัวเองเลี้ยงไว้กว่าร้อยละ 50 หายสาบสูญไปจาก "รัง" โดยไม่ทราบสาเหตุ!

"ซีซีดี" เป็นชื่อเรียกสภาวะที่ "ผึ้งงาน" ทิ้งรังไปกันหมด ปล่อยให้ "ผึ้งนางพญา" กับผึ้งวัยละอ่อนตายคารัง!

ปรากฏการณ์ "ซีซีดี" พบในสหรัฐเมื่อประมาณ 30-40 ปีก่อน

จนถึงทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ยังฟันธงให้ชัดลงไปไม่ได้ว่า มันมีสาเหตุเกิดจากอะไรกันแน่ แต่ที่เคยมีการตั้งสมมติฐานกันไว้ก็เช่น..

1. เป็นเพราะผลกระทบจากมลพิษในสิ่งแวดล้อม

2. การเกิดโรคระบาด

3. การใช้ยาฆ่าแมลง

4. ผลจากการที่พืชตัดต่อพันธุกรรมเข้าไปปนเปื้อนกับธรรมชาติ

5. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสายส่งไฟฟ้าแรงสูง

มาล่าสุด "ซีซีดี" ได้ลุกลามไปยังหลายประเทศในทวีปยุโรป ทั้งโปแลนด์ สเปน สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี

เบื้องต้นหลังจากใช้เวลาวิจัยอยู่หลายเดือน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย "Landau" ได้ออกมาประกาศชัดเป็นเจ้าแรก ว่า

"ซีซีดี" ที่กำลังเกิดขึ้นในเยอรมนี เป็นเพราะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมาจาก "เสารับส่งสัญญาณมือถือ" และตัว "โทรศัพท์มือถือ" เองนั้นมีคุณสมบัติในการทำลายระบบจดจำทิศทางของผึ้ง ทำให้พวกมันบินกลับรังไม่ถูก!

นักวิจัยยอมรับว่า ปัญหานี้คงหาทางแก้ได้ยากเพราะมือถือได้กลายเป็นอุปกรณ์ในชีวิตประจำวันของชาวบ้านแทบทุกคนไปแล้ว

ผลกระทบที่จะตามมาแน่ๆ จากภัย "ซีซีดี" ก็คือ ระบบนิเวศจะรวน เพราะพืชบางชนิดจะขาดผึ้งมาผสมเกสรให้ตามธรรมชาติ

สำหรับประเทศไทยเรา ยังไม่เคยมีรายงานใดๆ เกี่ยวกับปรากฏการณ์ "ซีซีดี"...หรือบางทีอาจจะมี แต่เราไม่ได้สังเกต!?!

Labels: , ,

Wednesday, April 25, 2007

รถยนต์ขายไฟฟ้า??

รถยนต์พลังงานทางเลือก เป็นกระแสที่พอไปได้ในตลาดใหญ่ มีกำลังซื้อสูงอย่างสหรัฐอเมริกา

รถหมวดนี้พูดง่ายๆ ก็คือ รถติดตั้งเครื่องยนต์ที่สามารถใช้พลังงานอื่นๆ ได้ด้วย นอกเหนือจากน้ำมัน

อาทิ รถไฮบริดจ์ (กึ่งไฟฟ้า-กึ่งน้ำมัน) รถใช้ก๊าซธรรมชาติ หรือรถที่ใช้เอทานอลได้

ในกลุ่มของรถไฮบริดจ์ แม้ยอดขายทุกวันนี้ยังไม่มากเท่าไหร่ เพราะราคาแพง

แต่บริษัทผลิตไฟฟ้าเอกชน "พีจีแอนด์อี" รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เริ่มมองข้ามช็อตไปไกลในอนาคต ว่า

รูปแบบของรถยนต์พลังไฟฟ้าที่ควรจะเป็นนั้น จะต้องเป็นรถที่ถ่ายโอนนำเอาพลังงานไฟฟ้าที่เหลือตกค้างอยู่ในแบตเตอรี่ กลับออกมาขายใหม่ หรือนำมาจ่ายให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ด้วย

พีจีแอนด์อีเรียกแนวคิดนี้ว่า โครงการ "วีฮิเคิล ทู กริด" พร้อมจัดสาธิตนำรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ ซึ่งดัดแปลงมาจากโตโยต้าพริอุส มาทดลองให้สื่อมวลชน รวมทั้งคณะกรรมาธิการสิ่งแวดล้อมของวุฒิสภาสหรัฐฯ ดู

อุปกรณ์หลักๆ ของรถรุ่นนี้ก็คือ ชุดแปลงระบบไฟฟ้าเป็นพลังงาน แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาดใหญ่เก็บไฟได้ 9 กิโลวัตต์-ชั่วโมง และชุดปลั๊กไฟ

วัตถุประสงค์ต้องการให้ผู้ใช้รถลงมือประจุไฟฟ้าในช่วงเที่ยงคืนเป็นต้นไป เพราะราคาค่าไฟต่ำเนื่องจากมีความต้องการใช้งานไฟฟ้าน้อย

วันถัดมา เมื่อนำรถไปวิ่งใช้งานเรียบร้อยแล้วแต่มีไฟฟ้าเหลือ ก็เพียงแต่เสียบปลั๊กเข้ากับผนังบ้าน หรือเสียบกับปลั๊กที่จัดเตรียมไว้ตามสถานที่ต่างๆ อาทิ สถานีขนส่งมวลชน รวมถึงลานจอดรถบริษัท เพื่อถ่ายไฟฟ้าในแบตเตอรี่ผ่านสายส่งกลับคืนสู่สถานีผลิตกระแสไฟฟ้า ก็จะได้รับเงินค่าขายไฟคืนมาตามอัตราที่กำหนด

หรือไม่เช่นนั้น ผู้ใช้รถจะถ่ายโอนไฟฟ้าจากรถกลับมาจ่ายให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของตัวเองก็ได้

แน่นอนว่าวิธีเหล่านี้ต้องมีการติดตั้งเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับแลกเปลี่ยนไฟฟ้าที่สลับซับซ้อน แต่พีจีแอนด์อีก็หวังว่าคงเป็นเรื่องไม่ไกลเกินฝัน!

ชุดทหารไฮเทคมะกัน ผลกรรมที่ต้องรบตลอดชาติ

สหรัฐอเมริกา (หมายถึงกองทัพกับรัฐบาล) มีศัตรูรอบทิศไปหมดครับ

รบกันด้วยอาวุธไม่มีทางเลยที่ชาติไหนจะเอาชนะได้..

แต่ถ้าเจาะลงไปถึงการส่งทหารราบเข้ารบภาคพื้นดินเพื่อยึดครองเบ็ดเสร็จ

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็เห็นๆ กันอยู่กับชะตากรรมของทหารอเมริกันต้องตายรายวันในอิรัก!

หน้าที่สำคัญของกองทัพสหรัฐก็คือสร้างขวัญกำลังใจให้คนในชาติ เฝ้าจัดหายุทโธปกรณ์ล้ำยุคต่างๆ มาแสดงให้ประชาชนเห็นว่าสามารถปกป้องชีวิตทหารอเมริกันได้เต็มที่ (แต่ไม่รบจะดีกว่าไหม?)

ขณะเดียวกัน ก็ช่วยให้การเบิกจ่ายงบพัฒนาอาวุธขยับไปอย่างลื่นไหลด้วย!

ล่าสุด กระทรวงกลาโหมสหรัฐ (เพนตากอน) เพิ่งเปิดตัว "ชุดเกราะไฮเทค" สำหรับทหารแห่งศตวรรษที่ 21

สื่อขนานนามชุดเกราะนี้ว่าทำให้ผู้สวมใส่กลายเป็นเหมือนตำรวจเหล็ก "โรโบคอป" เพราะผลิตด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยสุดๆ

เริ่มจากหมวก...มีจอภาพที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์แบบไร้สาย สามารถแสดงภาพกลยุทธ์การรบ และยังมีวิทยุสื่อสารผ่านดาวเทียม เครื่องแปลภาษาพูด ระบบกันแก๊สพิษ รวมถึงกล้องมองในที่มืด (ไนต์วิชั่น) ติดตั้งเอาไว้เสร็จสรรพ

ชุดเกราะทั่วทั้งตัวผลิตจากวัสดุนาโนเทคโนโลยี เวลาปกติจะมีความยืดหยุ่นสูง แต่เมื่อมีวัสดุมาพุ่งชน เช่น กระสุน จะเปลี่ยนสภาพตัวเองเป็นเกราะกันกระสุนแข็งโป๊ก และมีระบบพรางตัวเข้ากับสภาพภูมิประเทศด้วย

ปืนประจำกายเป็นปืน 15 มิลลิเมตร ใช้กระสุนนำวิถี พุ่งเข้าหาเป้าหมายโดยอัตโนมัติ

นอกจากนั้น ช่วงแผ่นหลังกับขายังติดตั้งกลไก "เอ็กโซสเกลเลตัน" หรือชุดจักรกลช่วยเพิ่มพลังให้กับกล้ามเนื้อของผู้สวมใส่ ทำให้แบกอาวุธหนักและเพื่อนทหารที่บาดเจ็บได้สะดวกขึ้น

ชุดเกราะไฮเทคของเพนตากอนอยู่ระหว่างการพัฒนา คาดว่าต้องใช้เวลาอีกราว 10 กว่าปีจึงจะสมบูรณ์แบบ และมีเทคโนโลยีบางชนิดถูกนำไปทดลองใช้ในสนามรบจริงๆ แล้ว!

Labels: , ,

ผนังบ้านนาโน-รับมือภัยแผ่นดินไหว

ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ยังวิเคราะห์แบบแม่นยำ 100 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้ว่า

เหตุแผ่นดินไหว จะเกิดขึ้นวันไหน เมื่อไหร่ เวลาใด

เวลาเกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาจริงๆ..

สาเหตุที่คนตายกันเป็นเบือก็เพราะตึกรามบ้านช่องถล่มลงมาทับ

ล่าสุด นักวิจัยของสถาบันนาโนเทคโนโลยี "เอ็นเอ็มไอ" มหาวิทยาลัยลีดส์ ประเทศอังกฤษ จึงคิดค้นวิธีการลดความเสียหายจากภัยแผ่นดินไหว

โดยกำลังพัฒนาผนังอาคาร-ผนังบ้านนาโน ซึ่งไม่มีวันแตกร้าวเด็ดขาด

ผนังนาโนดังกล่าวผลิตจากโครงสร้างของเหล็กกับยิปซัมชนิดพิเศษ

ซึ่งข้างในเนื้อยิปซัมนั้นมีอนุภาคนาโนโพลิเมอร์ผสมอยู่ด้วย

เมื่อใดก็ตามที่ผนังบ้าน-ผนังอาคารเกิดเขย่า สั่นไหว เพราะแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว

อนุภาคนาโนโพลิเมอร์ก็จะถูกเขย่าให้ไหลไป "อุด" ตามรอยแตกต่างๆ

จากนั้นก็จะแปรสภาพจาก "ของเหลว" เป็น "ของแข็ง"

ทำหน้าที่ค้ำยัน ไม่ให้ผนังแตก หัก พังลงมา!

โครงการนี้ได้รับเงินสนับสนุนการวิจัยจากสหภาพยุโรป (อียู) ประมาณ 665 ล้านบาท

บ้านต้นแบบที่สร้างด้วยผนังนาโนจะก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า ที่เมืองแอมฟิโลเชีย ประเทศกรีซ

ถ้าทดสอบแล้วสามารถใช้งานได้จริง มีความแข็งแกร่งจริงๆ

จะนับเป็นเทคโลยีใหม่ที่ช่วยรักษาชีวิตประชากรโลกให้รอดพ้นจากมหันตภัยแผ่นดินไหวได้ไม่น้อยเลยทีเดียว!

Labels:

โรงไฟฟ้าถ่านหิน บทเรียนที่ไม่เคยจดจำ

วันดีคืนดี พอความเคลื่อนไหวคัดค้านการก่อสร้าง "โรงไฟฟ้าถ่านหิน" ซาลงไป

คณะกรรมการพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ก็กระดิกตัว เดินหน้าแผนเปิดประมูลก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ทันที

ในขณะที่นานาอารยะประเทศตื่นตัว-ตระหนักถึงภัยมลพิษจากการเผาไหม้ของถ่านหิน พร้อมกับหันไปพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทางเลือกให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

อาทิ พลังน้ำ พลังลม ชีวมวล พลังแสงอาทิตย์ ก๊าซชีวภาพ

แต่กพช. กลับกำหนดนโยบายฝืนกระแสโลก ดึงดันจะใช้ถ่านหิน ซึ่งเป็นพลังงานสกปรกยุคโบราณที่ปล่อย "คาร์บอนไดออกไซด์" ออกสู่ชั้นบรรยากาศมหาศาล

จนกลายเป็นตัวการสำคัญของวิกฤตโลกร้อน

และเป็นเหมือนกับ "มัจจุราช" ที่คอยคร่าชีวิตประชากรที่อยู่ในรัศมีรายรอบโรงไฟฟ้าถ่านหินอย่างสนุกมือ!

ธุรกิจไฟฟ้าถ่านหินมีความลึกลับซับซ้อน ตกอยู่ในมือของกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ

บทเรียนความทุกข์ของชาวบ้านในอ.แม่เมาะ จ.ลำปาง ผู้ได้รับผลกระทบแสนสาหัสจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน ไม่ได้ทำให้ผู้กำหนดนโยบายพลังงาน รวมทั้งรัฐบาล มองเห็นธรรมอะไรบ้างเลยหรือ?

ถ้าสังคมไทยไม่ลืมเรื่องราวในอดีตง่ายจนเกินไป น่าจะยังคงจดจำกันได้ว่า

สิ่งที่ชาวแม่เมาะต้องเผชิญ เพราะมลพิษที่ปล่อยออกมาจากโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้นมีอะไรบ้าง...

ทั้งภาวะการล้มป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจสารพัดชนิด

สาเหตุเพราะต้องทนรับสารพิษจากฝุ่น กำมะถัน สารตะกั่ว ปรอท ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ฯลฯ นานนับสิบๆ ปี

ภาวะฝนกรด

ไร่นา สัตว์เลี้ยงลมตายเป็นเบือ

ผลสุดท้าย ชาวบ้านแม่เมาะต้องรวมตัวกันฟ้องร้องการไฟฟ้าฝ่ายผลิตให้จ่ายเงินชดเชยและจัดการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่

ใครที่พอมีเงินมากหน่อย ก็ตัดสินใจควักกระเป๋าหอบหิ้วลูกหลานครอบครัวหนีตายล่วงหน้าไปก่อน

ต้นทุนการดำเนินงานโรงไฟฟ้าถ่านหิน "ถูกที่สุด" ก็จริงอยู่..

แต่ต้นทุนทางสังคม ต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อม ที่สูญเสียไปเพราะการมาถึงของโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้น..

ท่านผู้มีอำนาจทั้งหลายเคยคิดถึงบ้างหรือเปล่า หรือคิดแต่ไม่สนใจ เพราะลูกหลานตัวเองไม่ต้องรับกรรม!?!

(20 เม.ย. 2550)

Labels: ,

"ไซเบอร์ทูธ" - ฟันไฮเทคปล่อยยาในปาก

ผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรังนี่ถ้าลืมกินยาขึ้นมา

ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายโดยไม่รู้ตัว

ขณะนี้สหภาพยุโรป (อียู) กำลังออกเงินสนับสนุนโครงการพัฒนาอุปกรณ์จ่ายยาระบบอิเล็กทรอนิกส์ชนิดใหม่

มีชื่อเรียกว่าฟันไฮเทค..."ไซเบอร์ทูธ"

อุปกรณ์ชนิดนี้จะถูกครอบ หรือฝังเข้าไปกับฟันของผู้ป่วย

ตัวอุปกรณ์มีลักษณะเป็นเหมือนกับกล่องอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก

สามารถเปิด-ปิดฝากล่องได้ตามเวลาที่แพทย์ตั้งโปรแกรมเอาไว้ล่วงหน้า

ซึ่ง "ยา" ที่ต้องการจ่ายให้แก่ผู้ป่วยก็จะบรรจุอยู่ในเจ้าไซเบอร์ทูธนั่นเอง

เบน ซี. เบสกี้ นักวิจัยจากศูนย์การแพทย์อัสซูตา นครเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล หนึ่งในทีมงานผู้พัฒนา อธิบายว่า

ประมาณยาที่ใส่ไว้ในไซเบอร์ทูธมีเพียงพอสำหรับการจ่ายยาต่อเนื่อง 2 สัปดาห์

ตัวยาที่ปล่อยออกมานั้นจะมีปริมาณเพียงเล็กน้อย

โดยน้ำยาจะถูกฉีดออกไปทางข้างหลังของช่องปาก

เมื่อผสมกับน้ำลายก็ไหลลงคอ ซึมซับเข้าสู่กระแสเลือดเหมือนการกินยาตามปกติ

ไซเบอร์ทูธไม่ใช่เครื่องจ่ายยาครอบจักรวาลสำหรับคนป่วยทุกโรค

แต่เหมาะกับผู้ป่วยที่มีภาวะความจำหลงๆ ลืมๆ

เช่น คนไข้อัลไซเมอร์

รวมถึงคนที่เป็นโรคประจำตัว เช่น หอบหืด

ในกรณีที่ชุดไซเบอร์ทูธเกิดหลุดลงคอ เบสกี้บอกว่าไม่มีปัญหาอะไรร้ายแรง เนื่องจากระบบออกแบบมาให้ปล่อยยาทีละน้อยเท่านั้น ไม่ว่าจะตกอยู่ในสภาพใดๆ ก็ตาม

การทดลองไซเบอร์ทูธกับมนุษย์จะเริ่มต้นภายใน 3 เดือนข้างหน้า

คาดว่าจะใช้เวลา 3 ปีจึงเสร็จสมบูรณ์นำออกวางตลาดได้

Labels: ,

สายส่งไฟฟ้าแรงสูง กับความเสี่ยงก่อโรคร้าย

ไม่ใช่เฉพาะแต่ชาติกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยหรอกครับ

ที่เมื่อถึงเวลาต้องเลือกระหว่าง "สุขภาพ" กับ "เงินมหาศาล" แล้วจะก่อให้เกิดความเห็นขัดแย้งอย่างกว้างขวาง

ข้อมูลล่าสุดจากหนังสือพิมพ์อีฟนิ่ง สแตนดาร์ด แสดงให้เห็นว่า แม้แต่ในชาติพัฒนาแล้ว เช่น "อังกฤษ" ก็มีปัญหาเหมือนๆ กัน

ช่วง 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลอังกฤษได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง ทำหน้าที่ตรวจสอบปัญหาคาใจมานานแสนนาน ว่า

ตกลงแล้ว "คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า" ที่แผ่ออกมาจากสายส่งกระแสไฟฟ้าแรงสูงนั้น..

เป็นตัวการของโรคมะเร็งเม็ดเลือด (ลูคิเมียร์) มะเร็งสมอง โรคระบบประสาท และทำให้หญิงมีครรภ์แท้งง่ายขึ้นหรือไม่?

คณะกรรมการดังกล่าวมีสมาชิก 40 คน มาจากหลายภาคส่วนของสังคม ทั้งนักวิทยาศาสตร์ ผู้บริหารบริษัทไฟฟ้า ตัวแทนบริษัทสายส่งไฟฟ้าแห่งชาติ ข้าราชการ และกลุ่มเคลื่อนไหวพิทักษ์สิทธิด้านสุขภาพประชาชน

ในที่สุดคณะกรรมการชุดนี้ได้ทุบโต๊ะออกมาเป็นข้อเสนอพร้อมส่งไปถึงรัฐบาลอังกฤษแล้ว ว่า

คณะรัฐมนตรีควรทบทวน-ฟื้นฟูนโยบายห้ามสร้างบ้านพักและโรงเรียน ใต้สายไฟฟ้าแรงสูง หรือถ้าจำเป็นต้องสร้างก็ต้องกำหนดให้สร้างภายในรัศมีห่างจากสายส่งอย่างน้อย 60 เมตร เพราะพบว่ามีโอกาสส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

เมื่อเสียงส่วนใหญ่สรุปแบบนี้ ตัวแทนจากฝ่ายบริษัทไฟฟ้าจึงถอนตัว ไม่รับมติไปตามระเบียบ และยืนยันว่าไม่เคยมีข้อมูลทางสถิติฟันธงชัดเจนว่าสายส่งไฟฟ้าแรงสูงเป็นต้นตอของสารพัดโรคดังที่เสียงส่วนใหญ่ในคณะกรรมการกล่าวอ้าง

ขณะเดียวกันยังต้องรอดูต่อไปว่ารัฐบาลจะตัดสินใจปฏิบัติตามข้อเสนอของคณะกรรมการ หรือโยนทิ้ง ซึ่งถ้าปฏิบัติตามจะทำให้ที่ดินทั่วอังกฤษที่อยู่ใต้สายไฟฟ้าแรงสูงต้องหมดทางทำมาหากินโดยอัตโนมัติ คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 1.4 แสนล้านบาท!

งานนี้แม้ผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร ก็ยังดีที่คนอังกฤษได้รับรู้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจว่าพร้อมรับความเสี่ยงจากการใช้ชีวิตประจำวันอยู่ใกล้กับสายส่งไฟฟ้าแรงสูงหรือไม่ ดีกว่าไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย!

Labels: ,

พิสูจน์กึ๋น"ปังคุง"ดาวเด่น"ขำกลิ้งลิงกับหมา!"

"ขำกลิ้งลิงกับหมา" ออกฉายทางโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์มาหลายเดือน แต่กระแสความแรงยังคงไม่ตกหล่น ฮิตติดลมบนเหมือนเดิม เพราะความฉลาด น่ารัก แสนรู้ของ "ปังคุง" ลิงชิมแปนซีพระเอกตามท้องเรื่อง กับคู่หู "เจมส์" สุนัขบูลด๊อกหน้าตายียวน

ด้วยเหตุที่เจ้า "ปังคุง" สามารถทำภารกิจยากๆ ในแต่ละสัปดาห์ได้ลุล่วงเป็นส่วนมาก ทำให้คนดูบางส่วนพากันตั้งคำถามกันอื้ออึงว่า ปังคุงฉลาดจริงหรือเปล่า งานนี้ทางทีมงานญี่ปุ่นเล่นมุข "จัดฉาก" หรือไม่

วันนี้เรารวบรวมผลวิจัยการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของ "ชิมแปนซี" ลิงสายพันธุ์เดียวกับปังคุงมาเป็นข้อมูล เพื่อช่วยคลี่คลายความสงสัยต่างๆ



จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เท่าที่มีในปัจจุบัน

นักชีววิทยาเชื่อว่า ในอดีตกาลย้อนกลับไปไกลถึง 6 ล้านปีก่อน

"มนุษย์" และ "ลิงใหญ่" มีบรรพบุรุษร่วมกัน

แต่ต่อมาได้วิวัฒนาการแยกจากกันเป็นสายพันธุ์ลิงใหญ่และสายพันธุ์มนุษย์อย่างเด็ดขาด

ลิงใหญ่ที่ว่านี้ก็คือ ชะนี อุรังอุตัง กอริลล่า และชิมแปนซี ต้นตระกูลของปังคุง ดาราเด่นประจำรายการ "ขำกลิ้งลิงกับหมา" นั่นเอง

ชิมแปนซีนั้น มีรหัสพันธุกรรมเหมือนมนุษย์ถึง 96 เปอร์เซนต์ และยังแยกย่อยออกเป็น 2 พันธุ์หลัก

ชิมแปมซีทั่วไป "Pan Troglodytes" กับ ชิมแปนซีแคระ "Pan Paniscus" หรือ "โบโนโบ"



ลิงชิมแปนซี พบมากในแอฟริกาและพื้นที่เขตป่าฝน

มีอายุขัยราว 50-60 ปี

แบ่งเวลาใช้ชีวิตอยู่เท่าๆ กัน ทั้งบนพื้นดินและบนต้นไม้

อุปนิสัยชอบอยู่รวมกลุ่มกันเป็นฝูงแบบหลวม ตั้งแต่ 10 ตัวไปจนถึง 100 กว่าตัว

แต่ละฝูงจะหวงแหนอาณาเขตของตัวเองอย่างมาก

เป็นเหตุให้เกิดการตะลุมบอนบ่อยครั้งกับลิงฝูงอื่นที่รุกล้ำเข้ามา

ลิงเพศผู้จะเป็นใหญ่ในฝูง และมีชีวิตยึดติดอยู่กับแม่ของมันจนวันตาย

ตามปกติแล้ว ชิมแปนซีเพศเมียจะออกลูกครั้งละ 1 ตัว

เมื่อคลอดออกมาแล้ว ลูกลิงจะยืนได้ด้วยตัวเองภายใน 6 เดือน แต่จะยังติดสอยหอยตามแม่ไปจนถึงอายุ 3 ปี จากนั้นเริ่มแยกจากอกแม่เมื่ออายุ 4 ปี และเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 8-10 ปี



นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ความฉลาดที่ชัดเจนที่สุดของชิมแปนซีก็คือ

มันสามารถใช้ความคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล และเรียนรู้จากสิ่งที่เคยทำไปแล้วในอดีต

นับเป็นความฉลาดที่คล้ายกับมนุษย์ แม้จะยังห่างกันหลายเท่าก็ตาม

หนึ่งในความฉลาดเฉลียวของชิมแปนซี ได้แก่

การเรียนรู้ที่จะนำเอาวัตถุรอบๆ ตัวตามธรรมชาติ มาดัดแปลงเป็น "เครื่องมือ" เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิต

ยกตัวอย่างเช่น นำเอา "หิน" กับ "ท่อนไม้" มาใช้เป็นอาวุธ

และใช้หินเป็นเครื่องมือกะเทาะ หรือทุบเปลือกพืชต่างๆ ก่อนกินเข้าไป

นอกจากนั้น ยังนำเอา "ไม้" หรือ "กิ่งไม้" มาใช้เป็นเครื่องมือจับ "ปลวก" จากรังจอมปลวกมากินได้ด้วย



ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2547 คณะนักวิจัย ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ติดกล้องวิดีโอเฝ้าบันทึกพฤติกรรมของชิมแปนซีในหลายพื้นที่ทั่วแอฟริกา จนพบว่า

พวกมันมีวิธีการจัดหาเครื่องมือเพื่อจับปลวกมากินอย่างเป็นระบบ

นั่นคือ ชิมแปนซีจะเลือกกิ่งหรือท่อนไม้ที่เหมาะสมสำหรับเสียบเข้าไปในรังจอมปลวก

เมื่อทะลวงจนเป็นรูเรียบร้อยแล้ว ก็จะสอดใบไม้ที่มีความเหนียวเข้าไปด้านใน เพื่อดึงปลวกออกมาจากรูอย่างง่ายดาย

ขณะเดียวกัน ลูกชิมแปนซีก็จะมานั่งดูวิธีการหาเหยื่อของลิงรุ่นใหญ่ เพื่อจดจำ-ลอกเลียนแบบนำไปใช้ต่อไป

และพบด้วยว่า มันเรียนรู้วิธีการนำกิ่งไม้ธรรมดาๆ มาทำเป็น "หอก" ใช้แทงฆ่าสัตว์อื่นๆ กินเป็นอาหาร



อาหารของชิมแปนซีมีนับร้อยๆ ชนิด ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ดอกไม้ใบหญ้า พืชพรรณต่างๆ รวมทั้งแมลงตัวเล็กๆ

แต่ก็กิน "เนื้อสัตว์" ด้วยกันเช่นกัน

ขณะยังเป็นลูกลิง พวกมันจะกินผลไม้ทุกชนิด แบบไม่เลือกหน้า ไม่เลือกว่าสุกหรือดิบ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเติบโตขึ้นมา ชิมแพนซีจะเลือกกินเฉพาะผลไม้ที่ "สุกแล้ว" เท่านั้น

เวลาอยู่ไกลแหล่งน้ำ และต้องการหาน้ำดื่ม

นักวิจัยพบว่า มันจะใช้วิธีเคี้ยวใบไม้จนยุ่ยเหมือนฟองน้ำ แล้วนำไปวางไว้ตามซอกหิน เพื่อคอยดักซึมซับหยดน้ำมาดื่มอีกที



ชิมแปนซียังสามารถ "แสดงสีหน้า" เพื่อบ่งบอกอารมณ์ต่างๆ ให้ลิงตัวอื่นรู้

เช่น ยามอารมณ์ดี เรียวปากจะดูเหมือนเวลาคนยิ้ม แต่ปากอ้าเล็กน้อย

ถ้าทำปากยื่นออกไปตรงๆ แสดงว่าต้องการอาหาร

ถ้าปากยื่นเผยอขึ้นไปด้านบน แปลว่ายอมแพ้คู่ต่อสู้

ถ้าอ้าปากค้าง หมายถึงกำลังตื่นตกใจ หรือตื่นเต้นอย่างรุนแรง

หรือถ้าต้องการแสดงความเป็นศัตรูก็จะแยกเขี้ยวยิงฟัน ขนตรงใบหน้าตั้งชัน เพื่อข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม

ปัจจุบัน ประชากรชิมแปนซีลดลงอย่างน่าวิตก เพราะผลกระทบจากการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อเปิดทางให้มนุษย์เข้าไปสร้างถิ่นฐานและทำการเกษตร อีกทั้งยังล้มตายเพราะโรคระบาด เช่น "อีโบลา" และถูกจับมาใช้ในการทดลองทางการแพทย์เพื่อผลิตยาให้กับมนุษย์ (ข่าวสด ฉบับ 24 เม.ย. 2550)

Labels:

"หนังสือพิมพ์ดิจิตอล" ทำรายได้ไม่อู้ฟู่อย่างที่คิด!

ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจ "หนังสือพิมพ์" ในสหรัฐอเมริกา แสดงความมั่นใจอย่างสุดขั้ว ว่า หนังสือพิมพ์ในสถานะของ "กระดาษ" อาจใกล้ถึงวันอวสาน

สิ่งที่จะเข้ามาแทนที่ก็คือ หนังสือพิมพ์ในสถานะของ "สื่อดิจิตอล" ซึ่งผู้คนสามารถเปิดอ่านกันได้ทั่วโลกทางอินเตอร์เน็ต

กระแสความเชื่อ (บวกกับความเห็นจากบรรดาอุตสาหกรรมโฆษณา) จากสหรัฐดังกล่าวได้แผ่อิทธิพลไปทั่วโลก โดยมีทั้งกลุ่มที่เชื่อ ไม่เชื่อ และเดินสายกลางรับฟังไว้เพื่อความไม่ประมาท

เมื่อครั้งที่ธุรกิจหนังสือพิมพ์อเมริกันหันหัวเรือเข้าสู่โลกดิจิตอลนั้น เพราะต้องเผชิญกับปัญหาหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นภาวะศรัทธาขาลงเพราะผลจากการรายงานข่าวที่ขาดความเป็นกลาง รวมทั้งวิกฤตยอดขายตกต่ำ โฆษณาไม่เข้า จนต้องลดขนาดกองบรรณาธิการ

ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์อเมริกัน เช่น นิวยอร์กไทมส์ วอชิงตันโพสต์ เครือเดอะทริบูน ต่างมั่นใจในกลยุทธการตลาด ว่า เม็ดเงินจากโฆษณาออนไลน์น่าจะไหลเข้าไปยังเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ตัวเอง กระทั่งสร้างรายได้อย่างน้อยในอัตราร้อยละ 30 ต่อปี!

แต่ผลการสำรวจยอดเงินรายได้จากโฆษณาของธุรกิจหนังสือพิมพ์อเมริกันช่วงต้นปีนี้ พบว่า กำลังเดินเข้าสู่ยุค "ขาลง" อย่างรวดเร็ว เพราะการ "หายไป" ของเม็ดเงินโฆษณา โดยเฉพาะจากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และรถยนต์

ที่เคยวาดฝัน "หนังสือพิมพ์ดิจิตอล" จะทำรายได้ 30 กว่าเปอร์เซ็นต์...กลับตาลปัตรกลายเป็นว่า หาเงินเข้าบริษัทได้เพียง 10 เปอร์เซ็นและมีแนวโน้มลดลงตามลำดับ เริ่มส่อแววไม่คุ้มค่ากับการลงทุนเข้าให้แล้ว

สอดคล้องกับที่ "โดนัลด์ เกรแฮม" ประธานบริษัทวอชิงตันโพสต์ สิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ เคยเตือนผู้บริหารหนังสือพิมพ์รุ่นใหม่ไฟแรงในยุคอินเตอร์เน็ต เมื่อปี 2549 ว่า "ในระยะยาวเราคงจะรักษาอัตราการขยายตัวของเม็ดเงินโฆษณาในเว็บไซต์หนังสือพิมพ์เอาไว้ที่ร้อยละ 35 ไม่ได้.."

ส่วนตัวเองเคยได้ฟังคำสอนจากผู้ใหญ่ ที่กล่าวอมตะวาจา ไว้ว่า ทางอยู่รอดที่ดีที่สุดของหนังสือพิมพ์ไม่ว่าจะอยู่ในยุคโลว์เทค หรือ ไฮเทค ก็คือ มุ่งมั่นกับการทำงานข่าวที่มีคุณภาพ เคารพผู้ผ่าน มองสังคมอย่างเท่าทัน และทำธุรกิจอย่างรู้ประมาณหน้าตัก แล้วผลลัพธ์ดี ๆ ทั้งหลายจะตามมาเอง

ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ ต่อให้เก่งกาจถึงขั้นทำหนังสือพิมพ์ให้มนุษย์ต่างดาวอ่านได้ ก็คงไม่มีความหายอะไรครับ

Labels: , , ,