Thursday, August 10, 2006

ซอสพริกรสไทย โดนใจมนุษย์อวกาศ


เมื่อวานนี้ไปอ่านเจอบทความเกี่ยวกับ "อาหารบนสถานีอวกาศนานาชาติ" (ไอเอสเอส) เจอในบล็อกของเว็บไซต์นิวไซทิสต์

สะดุดตากับข้อมูล "ซอสพริกของไทย" ที่เป็นที่โปรดปรานของมนุษย์อวกาศบนสถานีแห่งนี้สุดๆ จึงขอนำมาเล่าต่อ

เมนูอาหารบนไอเอสเอส นอกเหนือจากเมนูพื้นๆ เช่น ผัก เครื่องดื่ม อาหารกระป๋อง อาหารในถุงสุญญากาศแล้ว ก็ยังมีเมนูพิเศษที่มนุษย์อวกาศแต่ละชาติสั่งพิเศษขึ้นไปกินได้ด้วย

อ้อ..ลืมบอกไปว่า อาหาร-เครื่องดื่มส่วนใหญ่ต้องผ่านการ "รีดน้ำออก" เพื่อความสะดวก

เวลาจะกินค่อยเติมน้ำเข้าไปอีกที คล้ายๆ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบนพื้นโลกนี่แหละ

"เอ็ด ลู" ซึ่งเคยขึ้นไปประจำการบนไอเอสเอส 3 ปีก่อน เล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า เมื่อขึ้นไปอยู่บนสถานี การรับรสชาติจะเปลี่ยนไป กินอาหารอะไรก็ดูจืดๆ ไปหมด

ดังนั้น "น้ำจิ้ม" หรือ "ซอส" รสจัดจ้านทั้งหลายที่ช่วยเพิ่มรสชาติ ไม่ว่าจะเป็นซอสพริก ซอสกระเทียม ซอสบาร์บีคิว ซอสเปรี้ยว ฯลฯ จึงมีความสำคัญ

รวมถึง "ซอสพริกของไทย" ซึ่งเอ็ด ลู บอกว่า ช่วยเพิ่มรสชาติอาหารประเภทเนื้อ กับ ซุป ได้ดีมากๆ

"บนสถานีของเรามีซอสพริกของไทยตุนอยู่เพียบ มากพอถึงขนาดนำไปเลี้ยงคนทั้งประเทศได้เลย" เอ็ด ลู บอก

โดยซอสเผ็ดเหล่านี้บรรจุอยู่ในขวดชนิดบีบ หรือไม่ก็ซองเล็กๆ แบบเดียวกับซองซอสพิซซ่า เพื่อความสะดวก

นี่ถ้าลองมี "ต้มยำกุ้งกระป๋อง" ส่งขึ้นไปเป็นเสบียงบนไอเอสเอสด้วยคงดีใจตายเลย!

(ภาพ : "ยูริ มาเลนเชงโก"กับ"เอ็ด ลู" นั่งทานข้าวในไอเอสเอส)

หุ่นยนต์กู้ภัย "แบร์ โรบอท"

แนวทางพัฒนาเทคโนโลยี "หุ่นยนต์" ณ วันนี้คงแยกได้เป็น 2 ทางหลักๆ นะครับ

หนึ่ง หุ่นยนต์เพื่อความบันเทิง

สอง หุ่นยนต์สำหรับงานกู้ภัย และงานเสี่ยงภัยเกินกว่าที่คนจะเข้าไปทำ

ในภาพนี้ก็คือ ต้นแบบของหุ่นตามแนวทางที่สอง

มีชื่อรุ่นว่า "แบร์ โรบอท"

ย่อมาจาก "Battlefield Extraction And Retrieval Robot : BEAR ROBOT"

พัฒนาโดยบริษัทเว็กนา ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานวิจัยเทคโนโลยีชั้นสูงของกองทัพสหรัฐอเมริกา

กลไกของ "แบร์ โรบอท" แยกเป็น 3 ส่วน

ส่วนลำตัวด้านบน ส่วนฐาน (ล้อ) และระบบรักษาความสมดุลขณะเคลื่อนที่

กองทัพสหรัฐตั้งเป้านำไปใช้เป็นหุ่นยนต์กู้ภัย ช่วยแบก-นำตัวทหารที่ได้รับบาดเจ็บออกจากสมรภูมิ

นอกจากนั้น ยังใช้ทำหน้าที่ขนส่งเสบียง-ยุทโธปกรณ์หนักๆ เข้าสู่พื้นที่เสี่ยงเช่นกัน

ส่วนในยามภาวะปกติ หุ่นยนต์รุ่นนี้ก็จะถูกควบคุมให้ออกไปปฏิบัติภารกิจเสี่ยงภัยต่างๆ แทนเจ้าหน้าที่

เช่น สำรวจความเรียบร้อยของเตาปฏิกรณ์ปรมาณู

กู้ภัยช่วยเหลือเหยื่อแผ่นดินไหวที่ติดอยู่ในซากปรักหักพัง

และเข้าไปทำภารกิจในจุดที่มีสารพิษรั่วไหล เป็นต้น

ผลการทดสอบล่าสุด พบว่า "แบร์ โรบอท" สามารถอุ้มหุ่นจำลองของทหารและพาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้นานต่อเนื่อง 50 นาที

เป็นความสำเร็จก้าวแรกที่กองทัพสหรัฐรู้สึกพอใจ และพร้อมให้เงินสนับสนุนจากวิจัยต่อไป

Tuesday, August 01, 2006

วัคซีนไข้หวัดนก ปราบ"เอช5เอ็น1"

ปัจจุบันทั่วโลกมี 10 ประเทศ ที่ตรวจพบโรคไข้หวัดนกในคน

ในจำนวนนี้มีประเทศไทยของเรารวมอยู่ด้วย

มาตรการเฝ้าระวังของภาครัฐจึงไม่ควรย่อหย่อน หรือคิดปิดข่าวเด็ดขาด

ส่วนการให้ความรู้เรื่องการติดต่อของเชื้อหวัดนกจากสัตว์สู่คน ก็ต้องทำอย่างต่อเนื่อง!

สัปดาห์ที่แล้ว มีข่าวไข้หวัดนก ที่อาจช่วยคลายความกังวลบ้างเล็กน้อย

ภายหลังจาก "แกล็กโซสมิธไคลน์" (จีเอสเค) บริษัทยาใหญ่อันดับ 2 ของโลก เปิดแถลงว่า

ผลการทดลองวัคซีนป้องกันไข้หวัดนกสายพันธุ์อันตราย "เอช 5 เอ็น 1" ในประเทศเบลเยียม พบความรุดหน้าครั้งสำคัญ

โดยวัคซีนหวัดนกที่จีเอสเค พัฒนาขึ้นมาและฉีดเข้าสู่ร่างกายอาสาสมัคร วัยผู้ใหญ่ 400 คน พบว่า

ร้อยละ 80 ตอบสนองต่อตัวยาเป็นอย่างดี

กระบวนการฉีดวัคซีนแยกออกเป็น 2 โดส หรือ 2 ครั้ง

รวมตัวยาที่ใช้เพียง 3.8 ไมโครกรัม

ทั้งยังมีฤทธิ์รับมือกับการ "กลายพันธุ์" ของเชื้อเอช 5 เอ็น 1 ได้ระดับหนึ่ง

เบื้องต้นประเมินค่าใช้จ่ายสำหรับวัคซีนตัวนี้จะตกเข็มละ 4 ปอนด์ หรือราว 280 บาท

สำหรับวัคซีนหวัดนก ถ้าใครผลิตขึ้นมาได้สำเร็จจะกลายเป็นมหาเศรษฐีไม่รู้ตัว เนื่องจากมีรัฐบาลหลายประเทศรอสั่งซื้ออยู่!

นอกจากจีเอสเคแล้วก็ยังมีอีกหลายบริษัทเอกชนซุ่มพัฒนาอยู่อีกเยอะ ไม่ว่าจะเป็น "แบ็กซ์เตอร์" หรือ "ชีรอน" ซึ่งได้รับใบสั่งซื้อล่วงหน้าจากทางการอังกฤษ 3.5 โดส คิดเป็นเงิน 2,310 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ก็มีสถาบันการศึกษาทั่วโลกขอทุนวิจัยหาวัคซีนหวัดนกเหมือนกัน เช่น มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แต่เส้นทางนี้อาจไปถึง "ฝั่ง" ช้ากว่าภาคธุรกิจเอกชน

จับกระแสข่าวต่างประเทศคาดว่าในปีหน้าจะมีบริษัทหลายแห่งเปิดตัววัคซีนไข้หวัดนกสำหรับคน รวมถึงจีเอสเค

ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ทุกวันนี้น่าจะมีสักแห่งพบความสำเร็จจริงๆ

และหวังอย่างยิ่งว่าราคาจะไม่แพงจนทารุณคนจนมากเกินไป!

ผู้ดีใช้"เศษช็อกโกแลต" ผลิตไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง

เซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) เป็นอีกหนึ่ง "พลังงานทางเลือก" ที่ได้การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า

สาร หรือ ตัวตั้งต้นที่นำมาผลิตเป็นเซลล์เชื้อเพลิงได้ก็มีหลายชนิด

เช่น ไฮโดรเจน-ไฮดราซีน โพรเพน-ออกซิเจน

ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ การนำเอาไฮโดรเจน มาทำปฏิกิริยากับออกซิเจน

จนได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นไฟฟ้าและน้ำ

คุณลินน์ มาคาสกี และคณะนักวิจัยจุลชีววิทยา มหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม สหรัฐอเมริกา กำลังทดลองผลิตพลังงานไฮโดรเจนเช่นกัน

แต่ตัวตั้งต้นที่นำมาใช้ผลิตไฮโดรเจนนั้นอาจแปลกๆ หูหน่อย

เพราะมันคือกาก "น้ำตาล" เหลือทิ้งจากโรงงานช็อกโกแลต

ลินน์ บอกว่า วิธีการสร้างไฮโดรเจนที่ตนกับทีมงานคิดค้นขึ้นมา ทำโดยการเติมน้ำตาลคาราเมลกับเศษถั่วอัลมอนด์ที่เหลือมาจากโรงงานผลิตช็อกโกแลต-ขนมหวานของบริษัทแคดบิวรีย์ ให้กับ "แบคทีเรีย" สายพันธุ์ "Escherichia Coli" โซ้ยเต็มคราบ

ระหว่างที่เจ้าแบคทีเรียอิ่มหนำสำราญกับของหวานเหล่านี้

พวกมันก็จะปล่อยไฮโดรเจนออกมา

ช่วยให้นักวิจัยนำไฮโดรเจนที่ได้ไปทำปฏิกิริยากับออกซิเจนและจ่ายไฟฟ้าออกมาในขั้นตอนสุดท้าย

ผลการทดลองเบื้องต้นพบว่า ไฮโดรเจนที่ได้จากแบคทีเรียนั้นมีปริมาณมากพอสำหรับการจ่ายไฟให้ "พัดลม" ขนาดเล็ก

ลินน์ ตั้งความหวังว่า ภายในระยะเวลา 5-10 ปีข้างหน้า บ้านในอังกฤษจะมีเครื่องปั่นไฟฟ้าพลังเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน-ออกซิเจน แบบเดียวกันนี้ใช้อย่างแพร่หลาย

โดยสิ่งที่นำมาใช้เดินเครื่องปั่นไฟก็คือ

ของหวานเหลือทิ้ง รวมถึงขยะต่างๆ ที่เกิดจากการบริโภคภายในครัวเรือนนั่นเอง

ความฝันนี้จะเป็นไปได้หรือไม่ รออีก 10 ปีคงไม่รู้กัน...ถ้าประเทศต่างๆ ไม่รบกันครั้งใหญ่เพื่อแย่งน้ำมันจนโลกระเบิดไปเสียก่อน!

"อนาคอนดา" หุ่นยนต์งูยักษ์ดับเพลิง

มูลนิธิเพื่อการวิจัยอุตสาหกรรมและวิทยาศาสร์ ประเทศนอร์เวย์ (ซินเทฟ) ต้องใช้เวลา 3 ปีกว่าจะปลุกปล้ำ "ต้นแบบนวัตกรรมหุ่นยนต์ดับเพลิง" รุ่นใหม่ในภาพนี้ขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง

คณะผู้พัฒนาตั้งชื่อให้มันว่า งูยักษ์ "อนาคอนดา"

อาเซ แดร็กแลนด์ จากซินเทฟ อธิบายระบบการทำงานของงูยักษ์หุ่นยนต์อนาคอนดา ว่า ประกอบด้วยข้อต่อไฮโดรลิกมอเตอร์ 20 ชุด ที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน มีความยาวประมาณ 3 เมตร หนัก 70 กิโลกรัม


ภายในข้อต่อแตะชิ้นมี "วาล์ว" ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของท่อจ่ายน้ำที่อยู่ด้านใน

ที่ส่วนหัวของหุ่นยนต์ ติดตั้งกล้องวิดีโอเอาไว้ เพื่อถ่ายทอดสัญญาณภาพไปให้ผู้ควบคุมคอยบังคับทิศทางการเคลื่อนไหว

แรงขับที่ทำให้อนาคอนดา เคลื่อนที่ไปข้างหน้าก็คือแรงดันของน้ำ ราว 100 บาร์ ที่จ่ายออกมาจาก "หัวจ่ายน้ำดับเพลิง"

เมื่อผู้ควบคุมกำหนดตำแหย่งการเคลื่อนที่ของมันจากจุด 1 ไปยังจุด 2 เรียบร้อยแล้ว ตัวหุ่นยนต์จะ "เลื้อย" ไปยังเป้าหมายด้วยตัวเอง และยังสามารถดัน ข้าม หรือทำลายสิ่งกีดขวางด้านหน้าได้ด้วย

เมื่อไปถึงเป้าหมาย ผู้ควบคุมก็จะสั่งยกหัวหุ่นยนต์ขึ้นเพื่อฉีดพ่นน้ำออกมาดับเพลิง

อาเซ ระบุว่า ภารกิจของหน่วยดับเพลิงบางครั้งเสี่ยงตายเกินไป ดังนั้นในอนาคตหุ่นยนต์อย่างอนาคอนดาจะเข้ามาทำหน้าที่แทนเจ้าหน้าที่ในจุดที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีความร้อนสูงเกินไป เสี่ยงต่อการเกิดตึกถล่ม และจุดเกิดเหตุที่แคบเกินกว่าที่คนจะมุดเข้าไปได้

นอกจากนั้น หุ่นอนาคอนดายังเหมาะกับภารกิจสำรวจท่อน้ำมันใต้ทะเลและค้นหาผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว

ปัจจุบัน คณะผู้พัฒนากำลังเจรจากับบริษัทในสหรัฐอเมริกา เพื่อหาเงินทุนมาผลิตอนาคอนดาในเชิงพานิชย์ต่อไป

มาตรฐาน"เอ็นเอฟซี" แปลงมือถือเป็นกระเป๋าเงิน

คาดว่าในปีหน้านี้ ชื่อของมาตรฐานการให้บริการโทรศัพท์มือถือชนิดใหม่ที่เรียกว่า "เอ็นเอฟซี" จะเริ่มคุ้นหูผู้บริโภคทั่วโลกมากขึ้น

"เอ็นเอฟซี" เป็นชื่อย่อมาจากคำภาษาอังกฤษ "Near Field Communication : NFC" ซึ่งโนเกีย โซนี่ และฟิลิปส์ เป็น 3 บริษัทหลักที่ร่วมมือกันพัฒนาขึ้นมา

เป้าหมายเพื่อสร้างความสะดวกสบายสูงสุดในการทำธุรกรรมด้านการเงิน การจับจ่ายใช้สอย การรับข้อมูลข่าวสาร ให้กับลูกค้ามือถือ

ระบบการทำงานของเอ็นเอฟซี ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก

ได้แก่ ตัวเครื่องมือถือ ซึ่งถูกฝังชิปคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก กับ ตัวเครื่องอ่านหรือรับสัญญาณวิทยุ

อุปกรณ์ทั้งสองชนิดนี้สามารถสื่อสารกันได้ผ่านวิทยุคลื่นสั้น ที่เชื่อมต่อข้อมูลกันได้ในระยะห่าง 0-20 เซนติเมตร

ปัจจุบัน มาตรฐานเอ็นเอฟซีก้าวหน้าไปอีกขั้น ไม่ต้องฝังชิปลงไปในตัวมือถืออีกต่อไป เพราะบริษัทซานดิสก์กำลังพัฒนาการ์ดชนิดพิเศษ (มีขนาดพอๆ กับมินิเอสดีการ์ด) ซึ่งเมื่อเสียบกับมือถือรุ่นเก่าที่ใช้ระบบปฏิบัติการซิมเบียนแล้วจะทำให้ใช้เอ็นเอฟซีได้เลย

เหตุที่เกริ่นว่าเอ็นเอฟซีจะคุ้นหูชาวโลกมากขึ้น เนื่องจากช่วงกลางปีหน้า ผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของโลก จะมีโอกาสใช้ระบบดังกล่าวกันทั่วประเทศ

ส่วนประเทศไทยเรา ข่าวว่าปลายปีนี้บริษัทแห่งหนึ่งจะทดลองเปิดให้บริการเอ็นเอฟซีสำหรับจ่ายค่าโดยสารระบบขนส่งมวลชน

อย่างไรก็ตาม เอ็นเอฟซีของไทยกับสหรัฐและอีกหลายประเทศยังไม่เหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์

ของไทยยังคงพึ่งพาการเติมเงินผ่าน "บัตรเติมเงิน" ก่อนใช้บริการ

แต่ของสหรัฐจะเป็นการหักยอดการใช้บริการผ่านรหัส "บัตรเครดิต" โดยตรง

นอกจากนั้น เอ็นเอฟซีในสหรัฐยังจะใช้สำหรับสั่งซื้อบัตรคอนเสิร์ต ตั๋วภาพยนตร์ ตั๋วเครื่องบิน

และในอนาคตจะสามารถใช้เป็นอุปกรณ์ในการดึงข้อมูลจาก "แท็ก" หรือป้ายอิเล็กทรอนิกส์ที่ติดอยู่บนโปสเตอร์หนัง ฯลฯ มาอ่านบนมือถือได้อีกด้วย เช่น ใช้ดูตัวอย่างภาพยนตร์ เป็นต้น

เมื่อมือถือกลายเป็นกระเป๋าสตางค์อิเล็กทรอนิกส์ใช้สะดวกแบบนี้ กลุ่มผู้ให้บริการก็หวังว่าลูกค้าจะควักเงินง่ายขึ้นตามไปด้วย ซึ่งต้องรอดูต่อไปว่าจะได้รับความนิยมมากน้อยแค่ไหนและปลอดภัยมากพอหรือไม่!

หุ่นยนต์พันธุ์โสม เตรียมครองตลาดโลก

ประเทศ "เกาหลีใต้" เพื่อนบ้านเอเชียของเรา มุ่งมั่นว่าจะก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้นำอุตสาหกรรม "หุ่นยนต์" ให้ได้ เช่นเดียวกับที่กำลังทำสำเร็จในด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลนีสารสนเทศ

ในปี 2546 รัฐบาลเกาหลีใต้สนับสนุนการจัดตั้ง "สมาคมวิทยาการหุ่นยนต์อัจฉริยะชั้นสูงแห่งเกาหลี" ขึ้นมาคอยดูแลการขับเคลื่อนเทคโนโลยีหุ่นยนต์พันธุ์โสมโดยเฉพาะ

โดยในอนาคตอันใกล้ตั้งเป้าว่า อย่างน้อยที่สุดหุ่นยนต์โสมจะต้องครองส่วนแบ่งการตลาดให้ได้ 20 เปอร์เซ็นต์

ภายในปี 2556 มูลค่าของตลาดหุ่นยนต์ จะพุ่งสูงถึง 30 ล้านล้านวอน หรือ 1.18 ล้านบ้านบาท

ด้วยเหตุนี้บริษัทใหญ่-น้อยในเกาหลีใต้ ต่างมีแผนพัฒนาหุ่นยนต์เป็นของตนเอง

ผู้เล่นแถวหน้าในธุรกิจนี้ ได้แก่ แอลจีอิเล็กทรอนิกส์ ยูจินโรโบติกส์ ฮันนูลโรโบติกส์ และอิซิโรโบติกส์ เป็นต้น

เบื้องต้นเกาหลีใต้ตั้งเข็มทิศไปที่การพัฒนาหุ่นยนต์ 2 กลุ่ม

นั่นคือ หุ่นยนต์ทำความสะอาดอาคารบ้านเรือน กับ หุ่นยนต์เพื่อความบันเทิง

แน่นอนว่าเส้นทางอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ไม่ได้สวยหรูง่ายดาย เพราะการริเริ่มพัฒนาอะไรบางอย่างนั้นต้องเผชิญอุปสรรคเสมอ

หนึ่งในปัญหาสำคัญของธุรกิจหุ่นยนต์ มี 2 ปัจจัยด้วยกัน

1. ต้นทุนการพัฒนามีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้ต้องวางจำหน่ายในราคาสูงตามไปด้วย

2. ประสิทธิภาพตัวหุ่นยนต์ยังไม่สูงพอตอบสนองความต้องการหรือความคาดหวังของลูกค้า ซึ่งมักคิดว่าหุ่นยนต์จะมีศักยภาพล้ำเลิศเหมือนกับที่เห็นในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด

ตัวอย่างเช่น ยานพาหนะหุ่นยนต์ "อาร์-7" ที่เห็นในรูปประกอบนี้และสร้างโดยบริษัทโรโบ-3 เกาหลีใต้ มีรูปทรงเลียนแบบสัตว์ 4 ขา ผู้ใช้สามารถขึ้นไปนั่งและควบคุมให้เดินไปตามทิศทางต่างๆ ได้ แต่ขาทั้ง 4 ของมันขยับช้ามาก

ถ้าจะซื้อมาใช้จริงๆ ก็เป็นได้เพียง "ของเล่นคนรวย" เนื่องจากราคาสูงถึงตัวละ 210,000 บาท

แต่อีกไม่ช้าไม่นาน กลุ่มธุรกิจโสมใต้เชื่อว่าจะสามารถกดราคาลงมาในระดับที่คนทั่วไปพอซื้อหากันได้

และเมื่อวันนั้นมาถึงโปรดอย่าถามว่า...ใครจะรวย!

ร่มชูชีพติดเครื่องบินเจ๊ตลำแรกของโลก

ลองเกิดเป็น "อภิมหาอัครเศรษฐี" นี่ถ้าไม่มี "เครื่องบินส่วนตัว" ไว้ประดับบารมีคงแปลกๆ อยู่

ทีนี้เนื่องจากเศรษฐีส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากตายเร็ว...

กลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องบินเล็ก หรือ เครื่องบินส่วนบุคคล ก็จึงต้องพัฒนาเทคโนโลยีการบินเฉียบๆ ขึ้นมาเพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับลูกค้ากระเป๋าซุปเปอร์หนักกลุ่มนี้

ในระดับเครื่องบินใบพัดขนาดเล็ก 2-4 ที่นั่ง มีการคิดค้นระบบ "ร่มชูชีพฉุกเฉิน" ซึ่งยิงกางออกมาจากตัวเครื่องบินเพื่อป้องกันเหตุร้ายเวลาเครื่องยนต์ดับ จะได้ช่วยบรรเทาความแรงเวลาเครื่องตกลงมากระแทกพื้นผิว ไม่ว่าจะเป็นผิวดิน หิน น้ำ ถนน ฯลฯ


ถ้าข้อมูลไม่ผิดพลาด เครื่องบินส่วนตัวแบบใบพัดรุ่นแรกที่มีระบบร่มชูชีพติดตั้งไว้ "ทั้งลำ" คือ รุ่น เอสอาร์-22 ของบริษัทเซอร์รัส สหรัฐอเมริกา

มาล่าสุด บริษัทไดมอนด์ แอร์คราฟต์ แคนาดา กำลังพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น สร้างเครื่องบินเจ๊ตพลเรือน ขนาด 5 ที่นั่งลำแรกของโลก ที่ได้รับการติดตั้งระบบร่มชูชีพทั้งลำเช่นกัน

มีชื่อรุ่นสั้นๆ ว่า "ดี-เจ๊ต" ราคาลำละ 52 ล้านบาท ระบบร่มชูชีพที่นำมาใช้กับเครื่องบินรุ่นนี้ พัฒนาโดยบริษัทบัลลิสติก รีคัฟเวอรี่ ซิสเต็ม อิงก์ ในสหรัฐ ซึ่งเคยวางระบบชูชีพให้ เอสอาร์-22 นั่นเอง

เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเครื่องยนต์ดับ นักบินสามารถกดปุ่มยิงกระบอกร่มชูชีพออกจากตัวเครื่องพุ่งขึ้นไปด้านบน จากนั้นตัวร่มจะกางออกมาดังที่เห็นในภาพ ช่วยประคองเครื่องลงสู่เบื้องล่าง

ส่วนเครื่องจะตกลงที่ไหนนั้นต้องอยู่ที่ "ดวง" เพราะถ้าตกลงมหาสมุทรเวิ้งว้าง เกิดวิทยุสื่อสารเสีย ไม่มีคลื่นมือถือผ่านดาวเทียม ก็ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่อไป

และต้องภาวนาด้วยว่าลมจะไม่พัดเครื่องลอยไปกระแทกกับหน้าผา หรือ ตึกรามบ้านช่อง!

"คลิ๊ก ฟรอด" โกงโฆษณาหน้า"เว็บ"

คนท่องอินเตอร์เน็ต หนีไม่พ้นสิ่งนี้แน่นอน...

"โฆษณาในเว็บไซต์"

ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวว่า โฆษณาในเว็บที่ต้มตุ๋นเงินทองชาวเน็ตทั่วโลกมากเป็นอันดับต้นๆ ก็คือ

ประกาศหลอกขายอาหารเสริม กับ ขายอุปกรณ์ทางเพศทั้งหลายแหล่

สำหรับโฆษณาที่ไม่หลอกลวง ต้องการนำเสนอคุณสมบัติของสินค้าจริงๆ ก็มีเช่นกัน

แต่ทุกวันนี้เริ่มมีเสียงโวยวายจากกลุ่มผู้วางแผนการซื้อโฆษณา (แอดเวอร์ไทเซอร์) ว่า

สถิติโฆษณาในเว็บไซต์แล้วถูกฉ้อโกงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

เว็บไซต์ที่กลายเป็นสื่อกลางของการฉ้อโกงเหล่านี้ก็ไม่ใช่เว็บไร้อันดับที่ไหน

เพราะเป็นเว็บชื่อดังระดับโลกอย่าง "กูเกิ้ล" กับ "ยาฮู!" นั่นเอง!

ผลการสำรวจโดยบริษัทการตลาด 1,300 แห่งในสหรัฐอเมริกา ชาติที่มีประชากรผู้ใช้อินเตอร์เน็ตสูงสุดในโลก พบว่า

เมื่อเทียบอัตราการโฆษณาในเว็บเป็น 100 เปอร์เซ็นต์

ในจำนวนนี้จะมี 14-15 เปอร์เซ็นต์ที่เสียเงินค่าโฆษณาไปฟรีๆ ให้กับเว็บไซต์

เนื่องจากบุคคลที่เข้ามา "คลิ๊ก" ที่ตัวหรือที่แบนเนอร์โฆษณาบนหน้าเว็บนั้นไม่ใช่ลูกค้าจริงๆ

แต่เป็นกลุ่มคนที่ได้รับการว่าจ้างให้เข้ามาคลิ๊กที่แบนเนอร์โดยเฉพาะ!

คนที่ท่องอินเตอร์เน็ตมานานคงทราบดีว่า

เว็บไซต์จะได้รับส่วนแบ่งจากอัตรา "ฮิตเรต"

ซึ่งหมายถึงความถี่ในการคลิ๊กที่ตัวโฆษณาที่ปรากฎอยู่ในเว็บตัวเอง

นั่นส่งผลให้บางครั้ง เจ้าของเว็บก็เลยคลิ๊กที่โฆษณาเองเพื่อดูดค่าหัวคิวมาเข้ากระเป๋าให้มากๆ

แต่ปัจจุบัน กำลังมีแนวโน้มใหม่เกิดขึ้น

นั่นคือ บริษัทบางบริษัทจัดตั้งทีมขึ้นมาไล่คลิ๊กโฆษณาสินค้าคู่แข่งที่อยู่ตามเว็บต่างๆ ซะเอง

เป้าหมายก็เพื่อทำลาย "งบประมาณการตลาด" ของคู่แข่งให้หมดเร็วๆ!

ฝรั่งมังค่าเรียกขานพฤติกรรมฉ้อโกงแบบนี้ว่า "คลิ๊ก ฟรอด"

เฉพาะปี 2548 ประเมินกันว่าในสหรัฐ บรรดาบริษัทห้างร้างต่างเสียเงินให้กับ "คลิ๊ก ฟรอด" ไปถึง 3.2 หมื่นล้านบาท

ถ้ากลุ่มผู้พัฒนาเว็บไซต์ทั่วโลกไม่หาทางแก้ไขปัญหานี้

โอกาสหาโฆษณาเข้ามาหล่อเลี้ยงเว็บของตนก็คงลดฮวบลงเช่นกัน!

"สึนามิ"ชวา-17 ก.ค. 2549

ผ่านไปยังทันครบ 2 ปี..

คลื่นยักษ์ "สึนามิ" ก็กลับมาสร้างเจ็บปวดให้กับแผ่นดินอินโดนีเซียอีกครั้ง

หนล่าสุดนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 17 ก.ค. ที่ผ่านมา

มีผู้เสียชีวิตจนถึงช่วงเที่ยงวันที่ 18 ก.ค. 300 กว่าคน ไร้ที่อยู่อาศัย 52,000 คน

โดยเกิดแผ่นดินไหว 7.7 ริกเตอร์ ลึกลงไปใต้พื้นมหาสมุทรอินเดีย 49 กิโลเมตร

อันมีต้นตอมาจากการที่แผ่นเปลือกโลกมหาสมุทรอินเดียเพลท เกิดกดทับกับแผ่นเปลือกโลกอินโดนีเซียนเพลท

ศูนย์กลางแรงสั่นสะเทือน อยู่ห่างจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ของชายฝั่งเกาะชวา ประมาณ 200 กว่ากิโลเมตร

ขณะเกิดเหตุพบว่า ระบบเตือนภัยสึนามิ ที่สหประชาชาติกับหน่วยงานเยอรมนี ติดตั้งเอาไว้ไม่ทำงาน

ในส่วนของศูนย์เตือนภัยสึนามิมหาสมุทรแปซิฟิก (พีทีเอสซี) และหน่วยงานอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น ตรวจจับแรงสั่นสะเทือนได้ พร้อมกับออกแถลงการณ์เตือน

อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากแถลงการณ์ที่ออกมานั้นเจ้าหน้าที่พีทีเอสซีเองก็ไม่เชื่อเท่าไหร่ว่าแรงแผ่นดินไหวดังกล่าวจะทำให้มีคนตายนับร้อยคนเช่นนี้

เพราะเขียนออกมาสั้นๆ ว่า มีแนวโน้มอาจเกิดสึนามิระดับท้องถิ่นขึ้น แต่คงไม่ขยายวงกว้างเท่าไหร่

ที่สำคัญการวัดระดับแรงสั่นสะเทือนในครั้งแรกได้ค่าออกมาเพียง 7.2 ริกเตอร์

แต่ที่ถูกต้องคือ 7.7 ริกเตอร์...ถือว่าแตกต่างกันมาก!

นอกจากนั้น คำเตือนยังสวนทางกับเหตุการณ์จริง ซึ่งปรากฎว่าตามแนวชายฝั่งทิศตะวันตกของเกาะชวาความนับพันกิโลเมตรล้วนถูกสึนามิซัดเข้าใส่ถ้วนหน้า

จุดที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด คือ ชายหาดพันกันดารัน หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมบนเกาะชวา

เกาะชวามีสภาพภูมิศาสตร์ตั้งอยู่ในจุดที่เรียกว่า "วงแหวนไฟ" หมายถึงจุดที่มีการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกบ่อย ทำให้มีโอกาสสูงที่จะเกิดแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิด

เส้นทางวงแหวนไฟนั้นลากยาวขึ้นมาถึงตอนเหนือของเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย ซึ่งคือจุดเกิดโศกนาฎกรรมแผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่เมื่อเดือนธันวาคม 2547 นั่นเอง

ไม่มีใครรับประกันได้ว่าแผ่นดินไหวตามด้วยสึนามิจะไม่เกิดขึ้นอีกในภูมิภาคนี้!

ตั้งท้องต้อง"อาเจียน" ขับสารพิษปกป้องลูก

วันนี้มีเรื่องมาเล่าให้คุณผู้อ่านผู้หญิงฟังโดยเฉพาะ

แต่คุณผู้ชายจะลองฟังไปด้วยก็ไม่เสียหาย

เรื่องของเรื่อง คือ ดร.เครก โรเบิร์ตส์ จากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ กับคณะ มีความสงสัย ว่า

ทำไมผู้หญิงที่ตั้งครรภ์-ท้อง ต้องอาเจียน?

เพื่อคลายข้อสงสัยนี้ ดร.เครก ส่งทีมไปเก็บข้อมูลใน 21 ประเทศ กระทั่งพบ ว่า

การอาเจียนของหญิงมีครรภ์

เป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติที่ร่างกายต้องการขับ "ของเสีย" ออกจากร่างกายมารดา!

"ของเสีย" ที่ว่านี้ก็มาจากอาหารการกินของมารดาผู้อุ้มครรภ์นั่นเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

ใส่น้ำตาลมากเกินไป

ใส่น้ำตาลเทียม

มีส่วนสมแอลกอฮอล์

และผักที่ปนเปื้อนสารเคมี

นอกจากนั้น อาหารประเภทน้ำนม เนื้อสัตว์ และไข่

ก็ส่งผลให้ว่าที่คุณแม่เกิดอาการ "อ้วก" ขึ้นมาได้เช่นกัน

ดร.เครก อธิบายว่า เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะในอดีตกาลอาหารข้างต้นนี้มักมี "เชื้อปรสิต-เชื้อจุลินทรีย์" ปนเปื้อนอยู่มาก

ซึ่งถ้ารับประทานเข้าไปมากๆ อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์

ทำให้อวัยวะที่กำลังก่อร่างสร้างตัวเกิดผิดปกติ

ดังนั้น ร่างกายจึงสั่งให้มารดาขับของเสียดังกล่าวออกมาด้วยการอาเจียน

เพื่อปกป้องเด็กในท้อง!

ผลการวิจัยครั้งนี้ยังอ้างด้วยว่า มารดาที่อาเจียนบ่อยมักคลอดลูกออกมาปลอดภัยดี ไม่แท้งบุตรง่าย

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่พบนี้เป็นเพียง "สมมติฐาน" เท่านั้น

เป็นอีกทฤษฎีหนึ่งที่ฝรั่งพยายามอธิบายกลไกการทำงานของร่างกายเพศแม่ ซึ่งมีความซับซ้อนมากที่สุดในโลก!

ครบ10ปีแกะ"ดอลลี่" โคลนนิ่งยังไม่ก้าวหน้า

ย้อนกลับไปในเดือนกรกฎาคม เมื่อ 10 ปีที่แล้ว

โลกตื่นตะลึงกับข่าวสัตว์ทดลองรหัส "6LL3" ที่กำเนิดขึ้นมาด้วยกระบวนการคัดลอกแบบพันธุกรรม (โคลนนิ่ง)

แน่นอน สัตว์ตัวนี้ก็คือเจ้าแกะเพศเมียที่มีชื่อเล่นว่า "ดอลลี่" สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวแรกของโลกที่เกิดจากการโคลนนิ่ง

ดอลลี่ เป็นผลงานของคณะนักวิจัยสถาบันโรสลิน สกอตแลนด์ นำโดย ดร.เอียน วิลมุต

การถือกำเนิดของดอลลี่สร้างความวิตกทั้งในหมู่ผู้เคร่งศาสนา ผู้คนทั่วโลก และนักวิทยาศาสตร์บางส่วน

เนื่องจากเกรงว่าการที่มนุษย์สวมบทพระเจ้ามาให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตด้วยผิดธรรมชาติแบบนี้ จะเป็นอันตรายใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติ

ความหวาดกลัวข้างต้นคงไม่ใช่เรื่องไกลความจริงจนเกินไป

เพราะตามข้อเท็จจริงแล้ว ดอลลี่เป็นแกะเพียงตัวเดียวจากทั้งหมด 277 ตัว ที่เกิดขึ้นมาได้สำเร็จด้วยการโคลนนิ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์โคลนนิ่งที่เกิดมาทั้งหมดทุกตัวล้วนแต่มี "ดีเฟ็กต์"

หรือมีความผิดปกติในระดับพันธุกรรม

จะมากจะน้อยก็แตกต่างกันไปตามแต่ละตัว

จุดอ่อนสำคัญของการโคลนนิ่ง คือ วงจรชีวิตของสัตว์กลุ่มนี้สั้นกว่าสัตว์ที่เกิดตามธรรมชาติอย่างชัดเจน

เฉพาะแกะดอลลี่เองก็ต้องจบชีวิตขณะอายุ 6 ปี ด้วยโรคปอด

ถือว่าวงจรชีวิตสั้นกว่าแกะทั่วไป 2-3 เท่า แม้มันจะได้รับการดูแลอย่างดี

เหตุการณ์ที่ส่งผลสะเทือนครั้งใหญ่ต่อความน่าเชื่อถือของเทคนิคโคลนนิ่งเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว

ภายหลังจาก ดร.ฮวาง วู-ซุก นักวิจัยชาวเกาหลีใต้ชื่อดัง ถูกเปิดโปงว่าปลอมแปลงผลงานโคลนนิ่งตัวอ่อนมนุษย์เพื่อนำมาผลิตเป็นสเต็มเซลล์ (เซลล์ต้นกำเนิด) ส่งผลให้ "ฮีโร่โคลนนิ่ง" คนนี้กลายเป็น "ฮีลวง" ระดับโลกในพริบตา

ขณะเดียวกัน การโคลนนิ่งสัตว์อื่นๆ เช่น วัว ก็มีกระแสต่อต้านจากกลุ่มคุ้มครองผู้บริโภคที่กลัวว่าผลิตภัณฑ์จากสัตว์ประเภทนี้ เช่น น้ำนมและเนื้อ จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้คน

เส้นทางตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาถือว่าศาสตร์โคลนนิ่งถูกท้าทางอย่างรอบด้าน ทั้งในเรื่องเทคโนโลยีและศีลธรรม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ผู้บุกเบิกต้องฝ่าฟันอย่างหนักต่อไปในอีก 10 ปีข้างหน้า

บัตรประชาชนชีวภาพ ป่วนรัฐบาลอังกฤษ

ขณะนี้รัฐบาลอังกฤษกำลังหา "ทางลง" ให้กับโครงการ ไอที ใหญ่ยักษ์ระดับโลก

มีมูลค่าสูงกว่า 1.4 ล้านล้านบาท!

ครอบคลุมเกี่ยวพันกับประชาชนอังกฤษทุกคน

นั่นคือ โครงการบัตรประชาชนชีวภาพ (Biometric ID Card)

อย่างที่ทราบกันว่า อังกฤษตกเป็นเป้าหมายอันดับแรกๆ ของขบวนการก่อการร้าย เนื่องจากดำเนินนโยบานใกล้ชิดสนิทสนมกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกามาก

เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการป้องกันก่อการร้ายและขบวนการอาชญากรรม แบลร์จึงเห็นควรเดินหน้าออกบัตรประชาชนชีวภาพ หวังใช้เป็นฐานข้อมูลแยกแยะคนร้ายออกจากคนดี

ข้อมูลที่บรรจุไว้ในชิพคอมพิวเตอร์ในบัตรไฮเทคดังกล่าว ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก

ลายนิ้วมือ ภาพถ่ายม่านตา และเทคโลยีจดจำลักษณะใบหน้าเจ้าของบัตร ความล้ำสมัยของบัตรประชาชนชีวภาพ ทำให้สังคมผู้ดีบางส่วน ทั้งในและนอกสภาผู้แทนราษฎร ตั้งคำถามถึงความเหมาะสมและความคุ้มค่าของโครงการ

ในส่วนของกลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชน วิตกว่า การที่รัฐนำเอาข้อมูลส่วนบุคคลของชาวบ้านถึงขั้นลักษณะของ "ม่านตา" ไปเก็บไว้บัตรแบบนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่

ที่สำคัญ ภาครัฐยังให้ความอุ่นใจใดๆ ต่อประชาชนไม่ได้เลยว่ากลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดีจะไม่สามารถขโมยหรือแฮ็กข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในทางเสียๆ หายๆ

ขณะเดียวกัน นักการเมืองฝ่ายอนุรักษนิยมก็มองว่า บัตรชีวภาพเป็นโครงการผลาญเงินไม่เข้าท่า เพราะไม่อาจป้องกันภัยก่อการร้ายได้ อีกทั้งยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าตัวเทคโนโลยีมีความปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์

ปัจจุบัน รัฐบาลแบลร์ต้องการออกบัตรรุ่นนี้ล็อตแรกให้ทันภายในปี 2551

แต่เริ่มมีปัญหา หลังจากมีข่าว "วงใน" หลุดถึงสื่อมวลชนว่า การประเมินผลเบื้องต้นพบบัตรประชาชนชีวภาพเป็นการลงทุนที่อาจจะไม่คุ้มค่าจริงๆ ส่งผลให้รัฐบาลผู้ดีต้องพิจารณาว่าจะลดขนาดความใหญ่โตของโครงการลงมา หรือไม่ก็ยกเลิกไปเลย โดยมุ่งไปพัฒนาเทคโนโลยีการออกพาสปอร์ตให้ปลอดภัยยิ่งขึ้นแทน

ดูบ้านเขาแล้วอดย้อนมาดูบ้านเราไม่ได้...

บัตรประชาชน สมาร์ทการ์ด ของไทยนั้นพบสารพัดปัญหาใหญ่ๆ ทั้งเรื่องการวางระบบซอฟต์แวร์ สเปคของชิพ ระบบรักษาข้อมูล แต่ก็ดันทุรังผ่านกันออกมาจนได้สิน่า!

"รถยนต์พลังผัก" ทางออกวิกฤตน้ำมันแพง


ทุกวันนี้ความต้องการ "พลังงานทางเลือก" หรือ พลังงานนอกเหนือจากน้ำมันดิบ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ในสหรัฐอเมริกา ชาติที่ว่ากันว่าล้ำหน้าด้านเทคโนโลยีที่สุดในโลกนั้น เฉพาะปีนี้ยอดขายแผงเซลล์สุริยะเพิ่มมากกว่าปีก่อนหน้าถึง 20 เปอร์เซ็นต์

คณะนักศึกษามหาวิทยาลัยดาร์ธมุธของสหรัฐ นำโดยแอนดรูว์ ซาเบล มองว่า

ในอนาคตพลังงานทางเลือกนี่แหละเป็น "ทองคำ" ดีๆ นี่เอง

นั่นคือ ที่มาของโครงการพัฒนาและทดสอบรถยนต์โดยสารที่ใช้ "น้ำมันพืช" เป็นวัตถุดิบในการเดินเครื่องยนต์ 100 เปอร์เซ็นต์

อย่างที่เราทราบกัน...น้ำมันพืชสามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ดีเซลได้ดี

เช่น ถ้าผสมน้ำมันพืชกับแอลกอฮอล์ บวกด่าง ก็จะได้เป็นไบโอดีเซล

หรือจะนำไปผสมกับน้ำมันก๊าด หรือ ใช้น้ำมันพืชเพียวๆ ก็ใช้เติมเครื่องยนต์ดีเซลได้

เพียงแต่ต้องมีการปรับแต่งเครื่องยนต์เล็กน้อย

สำหรับรถโดยสารที่ซาเบลกับเพื่อนๆ นำมาดัดแปลงนั้น ซื้อมาในราคา 200,000 กว่าบาทตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา

ตั้งชื่อให้มันว่า "เดอะ บิ๊ก กรีนบัส-รถยักษ์พลังผัก"

วัตถุประสงค์เพื่อต้องการพิสูจน์ว่า "รถพลังผัก" แบบนี้จะทนทาน-อึดขนาดไหน!

จนถึงปัจจุบันรถคันนี้วิ่งต่อเนื่องทำระยะทางไกล 6,400 กิโลเมตร

ทำความเร็วได้สูงสุดราวๆ 104 กิโลเมตร

เวลาจะเติมน้ำมัน ก็แวะจอดตามร้านขายอาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นหลัก

ซาเบล บอกว่า ขอให้ลองมาดมควันจากรถคันนี้เถอะ

แล้วจะรู้ทันทีว่า น้ำมันพืชที่นำมาเติมนั้นมาจากร้านอาหารเม็กซิกัน ร้านอาหารจีน ฯลฯ

กลิ่นมันหอมฉุยดีมากๆ

แต่ใช่ว่า รถพลังผักจะไม่ปล่อยไอเสียคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาทำลายอากาศโลกเหมือนกับรถที่เติมน้ำมันดีเซลทั่วไป เพียงแต่พ่นไอเสียออกมาน้อยกว่าหลายเท่า

ในสายตาของนักศึกษาอเมริกันกลุ่มนี้มองว่า รถยนต์พลังทางเลือกหลากหลายชนิด รวมถึงพลังน้ำมันพืชนั้นคืออนาคต

ใครพัฒนาได้ดี มีประสิทธิภาพ โอกาสทำเงินก็มากตามไปด้วย!

แผนอพยพหนีสึนามิ สำคัญพอๆ กับระบบเตือน

องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) แถลงข่าวล่าสุด เดือนก.ค. 2549 ว่า

ระบบเตือนภัยคลื่นยักษ์ "สึนามิ" รุ่นใหม่ติดตั้งสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ครอบคลุมประเทศที่มีอาณาเขตติดมหาสมุทรอินเดีย

ประกอบด้วยสถานีตรวจวัดแผ่นดินไหว 25 แห่ง บวกกับของเก่าอีก 5 แห่ง รวมถึงระบบทุ่นเซ็นเซอร์ตรวจวิเคราะห์และรายงานสึนามิใต้มหาสมุทร (DART) อีก 3 ชุด หน่วยงานที่รับผิดชอบการวางระบบเหล่านี้ คือ คณะกรรมาธิการสมุทรศาสตร์นานาชาติ (ไอโอซี)

ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดยูเนสโก จัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่ 40-50 ปีก่อน ภายหลังจากเกิดแผ่นดินไหลและคลื่นสึนามิถล่มเกาะอะลัวเชี่ยนในมหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อปีพ.ศ.2489

พาทริซิโอ เบอร์นัล เลขาธิการยูเนสโก-ไอโอซี กล่าวว่า จำเป็นต้องวางระบบเตือนภัยสึนามิรุ่นใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียซ้ำรอยกับโศกนาฏกรรมสึนามิถล่มชายฝั่งประเทศในแถบมหาสมุทรอินเดีย เมื่อเดือนธันวาคม 2547

โดยสรุป, ระบบเตือนภัยสึนามิใหม่นี้จะทำหน้าที่คอยตรวจวัดระดับน้ำทะเล วัดแรงดันของน้ำในมหาสมุทร และจับแรงสั่นสะเทือนทั้งจากใต้ทะเลและบนบก

สำหรับเซ็นเซอร์ตรวจสึนามิในทะเลนั้นจะส่งสัญญาณแจ้งกลับมายังสถานีเตือนภัยภาคพื้นดินผ่านเครือข่ายดาวเทียม

เบอร์นัลย้ำว่า โดยตัวระบบเตือนภัยคาดว่าน่าจะทำงานได้ดี ไม่ผิดพลาด

แต่สิ่งที่ต้องระมัดระวังก็คือ ระบบการกระจายข้อมูลข่าวสาร-แจ้งเตือนภัยสึนามิทั้งในระดับรัฐต่อรัฐ และรัฐถึงประชาชนต้องเป็นไปด้วยความสอดคล้อง รวดเร็ว

การใช้ "เอสเอ็มเอส" มือถือช่วยส่งข้อความเตือนภัยไปถึงชาวบ้านเป็นข้อดีมาก

แต่ต้องคอยซักซ้อมป้องกันไม่ให้ระบบล่ม

นอกจากนั้น การจัดทำแผนที่เส้นทางอพยพยามเกิดสึนามิ และซักซ้อมแผนอพยพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่แถบโรงเรียนและโรงพยาบาลต้องวางแผนอย่างมีประสิทธิภาพและรัดกุมที่สุด

ปราศจากการวางแผนอพยพและฟื้นฟูสถานการณ์ที่ดีแล้ว

ถึงจะมีระบบเตือนภัยที่ไฮเทคขนาดไหน ก็แทบไม่มีประโยชน์!

"ควินสปิน" ระบบสร้างยอดนักเตะ

ฟุตบอลโลก 2006 จบลงไปแล้ว พร้อมกับความชื่นมื่นและผิดหวังของแฟนบอลแต่ละทีม
ไม่แน่ว่าภายหลังจากจบศึกฟาดแข้งครั้งนี้ อาจมีผู้จัดการทีมชาติบางทีม หรือ บางสโมสร

นำเทคโนโลยี "เท้าชั่งทอง" ที่เก็บมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังวันนี้ไปใช้ปรับฝีเท้านักเตะให้วางลูก ยิงลูกอย่างแม่นยำ แน่นอนมากขึ้น!

เทคโนโลยีดังกล่าวมีชื่อว่า "ควินสปิน"

พอล นีลสัน ผู้อำนวยการบริษัทสปอร์ตไดนามิกส์ ผู้พัฒนาระบบดังกล่าวอธิบายว่า

ควินสปินจะช่วยทำหน้าที่เก็บข้อมูลให้โค้ชทราบว่า นักเตะในทีมตนเองมีข้อเด่น-ข้อด้อยในการเตะลูกฟุตบอลอย่างไรบ้างและควรปรับปรุงแก้ไขตรงจุดไหน

อุปกรณ์ที่ประกอบกันขึ้นมาระบบควินปิน มี 4 ชนิดหลักๆ ด้วยกัน นั่นคือ

1. ลูกฟุตบอลชนิดพิเศษ ที่มีจุดสีน้ำเงินและเหลืองประทับอยู่ 50 จุด

2. กล้องจับภาพ พร้อมแฟลช

3. ระบบวิดีโอบันทึกภาพที่สามารถจับภาพแบบสโลว์โมชั่น

4. โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับประมวลผลข้อมูลทั้งหมด

วิธีการทำงานของระบบเริ่มจากนำลูกบอลไปตั้งในระยะห่างจากอุปกรณ์ควินสปิน 1.5 เมตร

จากนั้นระบบจะบันทึกภาพลูกบอลเอาไว้ และเริ่มบันทึกภาพต่อเนื่องตามลูกบอลไปทันทีที่ได้ยินเสียงเตะเปรี้ยงเข้าไปที่ลูกบอล

จุดสีทั้ง 50 จุด จะช่วยให้คอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ได้ว่าลักษณะท่าทางการวางเท้า รวมทั้งธรรมชาติการเตะของผู้เล่น ทำให้ลูกหมุนไปด้วยระดับความเร็ว ความสูง เหลี่ยมมุม รวมทั้งองศาที่ดีพอหรือยัง

เช่น ถ้าผู้เล่นต้องการโยนลูกจากมุมธงโค้งเข้ามาที่ประตู แต่ลูกไม่โค้งพอ ก็หมายความว่าผู้เล่นเตะใส่ "ไซด์สปิน" น้อยเกินไป โค้ชจึงต้องปรับวิธีการเตะใหม่ ซึ่งก็คล้ายๆ กับการฝึกแทงสนุ้กเกอร์นั่นเอง

ปัจจุบัน นีลสันกำลังตระเวนขายระบบควินสปินให้กับสโมสรฟุตบอลในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังไม่รู้ว่ากระแสตอบรับจะดีขนาดไหนครับ

เทคนิคใส่"ฉากแฝง" สกัดแก๊งซูมหนังเถื่อน

สิ่งที่ทำให้สมาคมภาพยนตร์สหรัฐอเมริกา (MPAA) รวมถึงนายทุนอุตสาหกรรมทั่วโลก ปวดหัวมากที่สุด

คงหนีไม่พ้นปรากฏการณ์แพร่ระบาดของ "แผ่นผี" แผ่นภาพยนตร์ดีวีดี-วีซีดีเถื่อนทั้งหลาย และเทคโนโลยีการดาวน์โหลด-ไรท์หนังละเมิดลิขสิทธิ์กันอย่างสนุกสนาน

ในอดีต มีเสียงร่ำลือว่าบางครั้งพวกนายทุนหนัง (และเพลง) นั่นแหละที่ผลิตแผ่นผีออกมาขายเองเพื่อหนีภาษี!

แต่เมื่อดูจากรายได้ของธุรกิจภาพยนต์สหรัฐ หรือ "ฮอลลีวู้ด" ที่หายวับไปกับตาปีละหลายๆ พันล้านดอลลาร์ ก็คงยัดเยียดกล่าวหาแบบข้างต้นยากหน่อย

ปัจจุบันมีหลายบริษัทพยายามคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อป้องกันการ "ซูม" หนังจากโรงภาพยนตร์ไปก๊อบปี้ลงแผ่นเถื่อนขายต่อ

เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดก็คือ การตัดต่อใส่ "ฉากแฝง" เข้าไปในหนัง ซึ่งถ้ามองด้วย "ตามนุษย์" จะไม่มีวันมองเห็น

แต่ถ้าถูกบันทึกด้วยกล้องถ่ายวิดีโอเมื่อไหร่...เจ้าฉากแฝงจะปรากฏขึ้นมากวนประสาทคนดูทันที

ทำให้เวลาซื้อแผ่นผีไปเปิดดูก็จะเห็นฉาก หรือ ตัวอักษรแปลกๆ ตัวเท่าหม้อแกงที่ทางผู้สร้างหนังซ่อนไว้โผล่ขึ้นมา

ยกตัวอย่างเช่นคำว่า "คุณกำลังดูภาพยนตร์ผิดกฎหมาย!"

บริษัททอมสัน ประเทศฝรั่งเศส ผู้พัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว ระบุว่า

สมองของคนเราสั่งให้สายตามองเห็นภาพที่ฉายต่อเนื่องได้เร็วที่สุด 45 ภาพต่อวินาที

ผิดกับกล้องถ่ายวิดีโอที่จับภาพได้มากกว่านั้น

ในขั้นตอนการตัดต่อ เมื่อผู้สร้างหนังแทรกใส่ฉากแฝงนี้เข้าไปและปรับสปีดให้ฉายด้วยความเร็วมากกว่า 45 ภาพต่อวินาที จะส่งผลให้ตาของผู้ชมมองไม่เห็นฉากแฝงที่ปรากฏอยู่บนจอภาพ

แต่เมื่อพวกลักลอบผลิตหนังเถื่อน แอบเข้ามาซูมหนังก็จะต้องผิดหวัง เพราะภาพที่ถูกบันทึกจะมีฉากแฝงโชว์หราขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกล้องวิดีโอสามารถตั้งความเร็วการบันทึกได้ จึงอาจต้องมีการปรับความเร็วในการฉายภาพฉากแฝงให้ต่างระดับกันไปตลอดทั้งเรื่องเพื่อหลอกกล้อง

สงครามระหว่างผู้ผลิตหนัง กับ ผู้ผลิตแผ่นหนังเถื่อน ยังต้องสู้กันอีกยาว

ทั้งในแนวรบทางด้านเทคโนโลยี กฎหมาย ราคา และการเข้าถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค!

"เกม"ชีวิตจริง-เกษตรกรโลกที่3

ต้องยอมรับว่าภาพพจน์ "เกมออนไลน์" ตกเป็นผู้ร้ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สาเหตุเพราะ "เนื้อหา" เกมส่วนใหญ่ หลีกหนีไม่พ้นเรื่องราวความรุนแรงเกี่ยวกับการฆ่าฟัน ทำสงคราม ฝึกให้คนใช้กำลังเอาชนะกันทุกรูปแบบ

คนเล่มเกมอาจแย้ง....เกมก็จำลองมาจากโลกแห่งความเป็นจริง

ข้อนี้มีนักพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (โปรแกรมเมอร์) บางส่วนเห็นด้วย

แต่มองต่างมุมไปว่า โลกความจริงที่เลือกนำเสนอผ่านเกมออนไลน์บางครั้งควรนำเอา "ปัญหา" ในชีวิตจริงของมนุษย์มาตีแผ่เพื่อจะช่วยกระตุ้นจิตสำนึกและช่วยกันแก้ไขคนละไม้คนมือ ไม่ใช่ว่าเอะอะอะไรก็จะยิง-ฆ่ากันอย่างเดียว

เกมออนไลน์ประเภทหลังนี้มี กลุ่มนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยไอที โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ร่วมกันคิดค้นขึ้นมา

และเปิดให้คนทั่วทุกมุมโลกเข้าไปเล่นฟรีที่เว็บไซต์ http://www.3rdworldfarmer.com/

เกมๆ นี้มีชื่อว่า "เกษตรกรโลกที่ 3" (เธิร์ดเวิร์ลด์ ฟาร์มเมอร์)

จัดเป็นเกมแบบ "ซิมูเลชั่น" หรือ จำลองเนื้อหาในเกมมาจากชีวิตจริงของเกษตรกรในประเทศยากจน-กำลังพัฒนา

ผู้เล่นจะต้องรับบทเป็นครอบครัวเกษตรกรในแอฟริกา

เมื่อเริ่มต้นจะมีเงินทุนก้อนเล็กๆ ไว้ให้สำหรับซื้อเมล็ดพันธุ์พืช เช่น ข้าวโพด ฝ้าย ธัญพืชต่างๆ มาปลูก

หลังจากนั้นเกมก็จะดำเนินไปเรื่อยๆ บางปีผลผลิตดี ไม่มีปัญหาสภาพดินฟ้าอากาศ โรคระบาด สงครามกลางเมือง ปัญหาราคาผลผลิตในตลาดโลก เกษตรกรจะทำเงินได้มากและนำไปลงทุน เช่น เลี้ยงหมู เลี้ยงวัว ซื้อโรงเลี้ยงสัตว์ สร้างยุ้ง ซื้อรถไถ ฯลฯ

แต่ถ้าบางปี เกษตรกรต้องพบอุปสรรคเช่นเกิดโรคระบาด ทำลายผลผลิตจนหมดสิ้นก็ต้องก้มหน้าก้มตารับสภาพ ค่อยๆ สร้างเนื้อสร้างตัวใหม่อีกครั้ง ซึ่งปัญหา-อุปสรรคที่ผู้เล่นเกมจะต้องเจอก็นำมาจากข้อมูลจริงๆ ที่เกษตรในโลกที่ 3 ต้องเผชิญอยู่ทุกวันนี้

เป้าหมายของเกมไม่ได้หวังสูงถึงขนาดจะให้คนในชาติร่ำรวยลุกฮือกันขึ้นมาจ่ายเงินบริจาคให้ชาติยากจน

แต่ต้องการให้คนร่ำรวยผู้มีอันจะกิน โดยเฉพาะทายาทของคนกลุ่มนี้ "รับรู้ข้อเท็จจริง" ว่าในโลกนี้ยังมีคนลำบากอีกมาก

เพียงแค่ลดการเอาเปรียบคนยากจนลงบ้าง รู้จักเสียสละ เห็นแก่ตัวให้น้อยลง เท่านี้โลกก็น่าอยู่มากขึ้นกว่าเดิมเยอะแล้วครับ!

คุณภาพ"อสุจิ" เสื่อมถอยไปตามวัย

ร่างกายของมนุษย์มีระบบการทำงานที่เรียกว่า "นาฬิกาชีวภาพ"

พูดสั้นๆ หมายถึง ระบบการทำงานต่างๆ ในตัวเราย่อมเสื่อมไปตามกาลเวลาและผลกระทบจากสภาพแวดล้อม

ในกรณีของระบบสืบพันธุ์ เราคงเคยได้ยินกันมาว่า สำหรับ "ผู้หญิง" นั้น ยิ่งตั้งครรภ์ขณะมีอายุมากขึ้นเท่าไหร่ ก็มีโอกาสเป็นอันตรายต่อทั้งตัวเองและลูกที่จะเกิดมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความเสี่ยงสูงที่ลูกจะคลอดออกมาแล้วป่วยเป็น "ดาวน์ซินโดรม"

อาจพูดได้ว่าด้วยเหตุนี้ ธรรมชาติจึงออกแบบมาให้นาฬิกาชีวภาพในส่วนของ "ประจำเดือน" ของคุณผู้หญิงต้องหยุดทำงาน เพื่อความปลอดภัยของชีวิตนั่นเอง

ล่าสุด "แอนดรู ไวโรเบ็ก" นักวิจัยประจำห้องปฏิบัติการลอว์เรนซ์ ลิเวอร์มอร์ รัฐแคลิฟอร์เนีย กับ "เบรนดา เอสเคนไซ" จากภาควิชาสาธารณสุข มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา พร้อมคณะทำงาน

ร่วมมือกันศึกษาวิเคราะห์ "น้ำเชื้อ-อสุจิ" (สเปิร์ม) ของอาสาสมัครชาย 97 คน ที่มีสุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีประวัติสูบบุหรี่ อายุระหว่าง 22-80 ปี และตีพิมพ์ไว้ในวารสารสมาคมวิทยาศาสตร์สหรัฐ พบว่า

อสุจิของผู้ชายก็มีนาฬิกาชีวภาพคอยควบคุมอยู่เช่นกัน

โดยยิ่งผู้ชายมีอายุมากขึ้นเท่าไหร่ ความแข็งแรง หรือ คุณภาพของอสุจิ ก็จะลดลงมากขึ้นเท่านั้น

สาเหตุเพราะหน่วยพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) ของอุสจิ จะเกิดการกลายพันธุ์ หรือ "มิวเตชั่น"

ส่งผลให้ความสามารถในการแหวกว่ายผ่านช่องคลอดเข้าไปเจาะ "ไข่" ของผู้หญิงลดลง เนื่องจากตัวอุสจิว่ายไปไม่เป็นเส้นตรง

นอกจากนั้น ความผิดปกติของดีเอ็นเอในอสุจิจะเพิ่มความเสี่ยงให้ลูกที่เกิดมา ป่วยด้วยอาการ "อะคอนโดรเพลเซีย"

ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรม ทำให้ผู้ป่วยมีร่างกายแคระแกร็น แขน-ขาสั้นกว่าคนทั่วไปที่มีอายุเท่ากัน

ด้านนักวิทยาศาสตร์สถาบันอื่นๆ ในสหรัฐจะเห็นตรงกันว่า ข้อมูลใหม่ของไวโรเบ็กและคณะในครั้งนี้มีประโยชน์และควรต้องศึกษาลงลึกต่อไป อย่างไรก็ตาม คุณผู้ชายก็ไม่ควรวิตกกังวลจนเกินเหตุ เพราะในชีวิตประจำวันของเราทุกคนก็มีปัจจัยแวดล้อมที่ทำลายคุณภาพอสุจิอยู่แล้ว เช่น สารพิษในอาหาร-อากาศ มรดกตกทอดทางกรรมพันธุ์จากบรรพบุรุษ ความเครียด ฯลฯ

เมื่อถึงวัยที่คิดว่าตัวเองพร้อมมีลูก มีความรับผิดชอบเพียงพอก็ควรจะมี และควรตรวจสุขภาพให้เรียบร้อย

แต่ถ้าแก่แล้วและอยากมีลูก ควรรู้ตัวเองว่าถ้าต้องลาจากโลกนี้ไป แล้วใครจะอยู่ดูแลทั้งลูกและครอบครัวที่อยู่เบื้องหลัง!

โลกอินเตอร์เน็ต ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ

มาถึงปัจจุบันก็คงต้องยอมรับความจริงกันแล้ว ว่า

เนื้อหาสาระในโลกอินเตอร์เน็ตนั้นมีเรื่องชั่วๆ มากกว่าเรื่องดีๆ

ต้องอย่าลืมว่าแรงขับเคลื่อนสำคัญของเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตในวันนี้

คือ การขายภาพ-วิดีโอลามกอนาจาร

ซึ่งก็เหมือนกับเมื่อสมัยที่ "วิดีโอลามก" เคยส่งผล ทำให้ยอดขายเครื่องเล่นวิดีโอขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเมื่อหลายสิบปีก่อน

ในส่วนของภาครัฐ...

เมื่อขึ้นชื่อว่า "รัฐบาล" ก็มีหน้าที่ที่จะต้องปราบสื่ออนาจารเหล่านี้ให้หมดไป

ล่าสุด รัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนเพิ่งสวมบทโหด

ประกาศมาตรการกำราบ "ความชั่วร้ายในโลกไซเบอร์-อินเตอร์เน็ต" อย่างขึงขังจริงจังมากเลยทีเดียว

ขณะนี้ จีนมีสถิติผู้ใช้อินเตอร์เน็ต 110 ล้านราย

ถือว่ามากเป็นอันดับ 1 รองจากสหรัฐอเมริกาที่มี 111 ล้านราย

ในทัศนะของรัฐบาลจีนเห็น ว่า

อินเตอร์เน็ตมีประโยชน์ในแง่ของการแพร่ภาพการศึกษา

กับ การทำธุรกิจ

แต่ขณะเดียวกันก็เป็นดาบสองคม

ทำให้กลุ่มประชาชนที่ต่อต้านการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ใช้เป็นเครื่องมือสำหรับต่อต้านรัฐบาล

เพื่อควบคุมการไหลบ่าของข้อมูลข่าวสารนในโลกไซเบอร์

รัฐบาลจีนจึงสั่งให้กระทรวงอุตสาหกรรมสารสนเทศ

คอยดูแลการแสดงความคิดเห็นของประชาชนผ่านทางเว็บไซต์ เว็บบอร์ด และบล็อก ต่างๆ

ในส่วนของการควบคุมพฤติกรรมการใช้อินเตอร์เน็ตในกลุ่มเยาวชน

รัฐบาลจีนเพ่งเล็งไปที่การคุมเข้มร้าน "อินเตอร์เน็ต คาเฟ่" เป็นหลัก

เมื่อ 3 วันก่อนหน้านี้ กระทรวงวัฒนธรรมจีนออกคำสั่ง "เคอร์ฟิว" ห้ามร้านอินเตอร์เน็ต คาเฟ่ รับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าไปใช้บริการตอนกลางคืนโดยเด็ดขาด

นอกจากนี้ ระหว่างช่วงเวลากลางวัน อินเตอร์เน็ต คาเฟ่ แต่ละแห่ง ยังต้องจำกัดจำนวนลูกค้าอายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่ให้เข้าไปอยู่ในร้านพร้อมๆ กันเกิน 2-3 คน เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กๆ ไปซ่องสุม

ถ้าร้านไหนฝ่าฝืนจะต้องรับโทษ ถูกถอนใบอนุญาต หรือ ปิดกิจการไปจนกว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้น

ดูๆ แล้ว มาตรการของรัฐบาลจีนนั่นโหด-หินยิ่งกว่าบ้านเราหลายเท่า

แต่ถึงเวลาปฏิบัติจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลขนาดไหน

เพราะสำหรับกลุ่มวัยรุ่นเยาวชนทั้งหลายนั้น

เรื่องไหนที่ถูกห้าม ก็เหมือนกับการยุให้อยากทำ อยากรู้ อยากเห็นดีๆ นี่เอง

บางทีการบอกกับเด็กๆ ตรงๆ ว่า อินเตอร์เน็ตมีทั้งเนื้อหาที่ดีและไม่ดี

ถ้าสงสัยอะไรให้ถามผู้ใหญ่

อาจช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่แน่นหนากว่าการห้ามตะพึดตะพือเพียงอย่างเดียว!?!

"โทร.แล้วขับ" เท่ากับ"เมาแล้วขับ!"

การใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถยนต์ ไม่ว่าจะใช้มือหยิบขึ้นมาโทร. หรือ โทร. ผ่านระบบแฮนด์ฟรี มีผลทำให้ความสามารถในการขับขี่ยานพาหนะของคนเราลดลง

ทั้งยังลดลงในระดับย่ำแย่ ใกล้เคียงกับคนที่ดื่มเหล้า-เมาแล้วขับรถยนต์อีกด้วย

ข้อความข้างต้นนี้ก็คือ ข้อมูลที่คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา จัดพิมพ์เป็นรายงานนำเสนอต่อสังคมสหรัฐและต่อหน่วยงานที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน

"เดวิด สเตรเยอร์" ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยยูท่าห์ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะวิจัยเรื่องผลกระทบจากขับขี่รถยนต์ขณะใช้มือถือ ระบุว่า

ผลการวิจัยครั้งนี้ได้มาจากการติดตามเก็บข้อมูลจากอาสาสมัคร 40 คน ซึ่งเข้าไปใช้ระบบคอมพิวเตอร์จำลองสภาพการขับขี่รถยนต์ภายใต้สถานการณ์ต่างๆ กัน

คณะวิจัยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย

(1.) กลุ่มที่ขับรถในสภาพปกติ ปราศจากสิ่งรบกวน (2.) กลุ่มที่คุยมือถือขณะขับรถ (3.) กลุ่มที่คุยมือถือผ่านระบบแฮนด์ฟรีขณะขับรถ และ (4.) กลุ่มที่ดื่มเหล้าขาววอดก้าเข้าไปจนมีแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่าที่กฎหมายสหรัฐกำหนด นั่นคือ 0.08 เปอร์เซ็นต์

ผลลัพธ์ที่ได้จากการทดลองพบว่า ความสามารถในการขับรถของกลุ่มที่ 2 และ 3 ไม่แตกต่างกัน หมายความว่าการใช้ระบบแฮนด์ฟรี มีส่วนทำให้เสียสมาธิและไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ

โดยในเรื่องปฏิกิริยาตอบสนองด้านการเหยียบ "เบรก" ของกลุ่มที่ 2-3 พบว่า เชื่องช้ากว่ากลุ่มที่ 1 ประมาณ 9 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนั้น ความสามารถในการรักษาความเร็วรถให้อยู่คงที่และให้ห่างจากรถคันหน้าในระดับที่เหมาะสมของกลุ่มที่ 2-3 ยังลดลงมาเหลือเพียง 24 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อจำเป็นต้องเร่งทำความเร็วให้กลับสู่ระดับที่เหมาะสม พบด้วยว่า กลุ่มที่ 2-3 มีปฏิกิริยาตอบสนองช้ากว่าคนไม่คุยมือถือ 19 เปอร์เซ็นต์

เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ 4 หรือ กลุ่มเมาแล้วขับ พบว่า กลุ่ม 2-3 ไม่ได้มีความสามารถควบคุมรถยนต์เหนือกว่าแต่อย่างใด

ดังนั้น คณะนักวิจัยยูท่าห์จึงเสนอว่า ถ้ารัฐบาลต้องการเอาจริงเอาจังกับนโยบายลดอุบัติภัยบนท้องถนน

ก็ควรออกกฎหมายห้ามประชาชนใช้มือถือและห้ามใช้ระบบแฮนด์ฟรีขณะขับรถ เช่นเดียวกับที่มีกฎหมายห้ามคนเมาขับรถ!

"ไอเอสพี"มะกันรวมพลัง ปราบภาพลามกอนาจารเด็ก

ณ ปัจจุบัน "สหรัฐอเมริกา" เป็นประเทศที่มีสถิติประชากรไซเบอร์ หรือ ผู้ใช้อินเตอร์เน็ต สูงสุดในโลก

ตกประมาณ 111 ล้านคน

ชาติที่มีสถิติรองลงมาเป็นอันดับ 2 คือ สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งดำเนินนโยบายคุมเข้มการใช้งานอินเตอร์เน็ตอย่างเข้มข้น

ปัญหาใหญ่ในโลกอินเตอร์เน็ต แยกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ

นั่นคือ การใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือก่ออาชญากรรม และเผยแพร่ภาพลามกอนาจาร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพลามกของเด็กและเยาวชน!

มีแนวโน้มว่าในอนาคต ฝ่ายการเมือง ซึ่งหมายถึงรัฐบาลของทั้งสหรัฐ จีน และอีกหลายๆ ประเทศ

จะออกกฎหมายเพื่อให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาแทรกแซง สอดส่องการใช้งานอินเตอร์เน็ตของประชากรในประเทศ

ถ้ากฎหมายเหล่านี้ผ่านสภาออกมาได้จริงๆ คาดว่ายอดผู้ใช้อินเตอร์เน็ตอย่างถูกต้องตามกฎหมายจะลดลงแน่นอน

เนื่องจากผู้ใช้หวั่นเกรงว่า "รัฐ" จะมีเป้าหมายแอบแฝงอื่นๆ นอกเหนือไปจากการตรวจสอบภาพลามกทั่วๆ ไป

อาทิ การที่รัฐอาจเข้ามาสอดส่องทัศนคติ-ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของพลเมืองอินเตอร์เน็ต

ด้วยเหตุนี้กลุ่มผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ไอเอสพี) ยักษ์ใหญ่จึงจำเป็นต้องปรับตัว จับมือกันวางมาตรการกลั่นกรองการใช้งานอินเตอร์เน็ตด้วยตัวเองในระดับหนึ่ง เพื่อป้องกันการเข้าแทรกแซงโดยรัฐ

ล่าสุด 5 ไอเอสพีชั้นนำในสหรัฐ ประกอบด้วย เอโอแอล, ยาฮู!, ไมโครซอฟท์ คอร์ป, เอิร์ธลิงก์ และยูไนเต็ดออนไลน์ อิงก์ ก็เพิ่งประกาศแผนความร่วมมือเพื่อสร้าง "ฐานข้อมูล" และ "โปรแกรม" สำหรับป้องกันการเผยแพร่ภาพลามกอนาจารเด็ก

ตามแผนการดังกล่าว ไอเอสพีทั้ง 5 จะจัดตั้งฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์เก็บบันทึกภาพของเด็กที่หายสาบสูญ เพื่อใช้เป็นแหล่งอ้างอิงเวลาตรวจพบภาพอนาจารเด็กปรากฎขึ้นมาตามเว็บไซต์ บล็อก รวมถึงอีเมล์ของผู้ใช้บริการ

นอกจากนั้น ยังจะคิดค้นโปรแกรมใหม่ ที่สามารถ "สแกน" หรือตรวจไฟล์ภาพในอีเมล์โดยอัตโนมัติว่า เป็นภาพอนาจารหรือไม่ และเก็บข้อมูลส่วนนี้ไว้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ในกรณีที่เกิดคดีความ หรือ พบภาพอนาจารเด็ก

นับเป็นอีกหนึ่งความพยายามของไอเอสพียักษ์ใหญ่ที่จะต่อกรกับขบวนการขายภาพอนาจารเด็ก ซึ่งทุกวันนี้ระบาดใหญ่โตจนก่อให้เกิดปัญหาสังคมไปทั่วโลก!

พลังงานทางเลือกใหม่ "ไฟฟ้าพลังคนเดิน"

บริษัทสถาปัตยกรรมในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ "ฟาซิลิตี้ อาร์คิเท็กส์" กำลังทดลองคิดค้นวิธีนำเอา "แรงกด" จากจังหวะการ "ก้าวเดิน" ของผู้ใช้รถไฟฟ้าใต้ดินในลอนดอน

มาเปลี่ยนเป็น "พลังงานทางเลือก" สำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในพื้นที่สถานี โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบไฟส่องสว่าง

แคลร์ ไพรซ ผู้อำนวยการฟาซิลิตี้ อาร์คิเท็กส์ อธิบายว่า แนวคิดนำเอาแรงกดจากการเดินมาผลิตเป็นไฟฟ้ามีการทดลองพัฒนาอย่างจริงจังโดย "ดาร์ปา" หรือหน่วยงานวิจัยของกองทัพสหรัฐอเมริกา

โดยก่อนหน้านี้ ดาร์ปาได้พัฒนารองเท้าบู้ตทหารที่บริเวณ "ส้นรองเท้า" มีอุปกรณ์ปั่นไฟขนาดจิ๋วติดตั้งเอาไว้ ยามเมื่อเดินกดลงไปอุปกรณ์ตัวนี้ก็จะขยับขึ้นลงเพื่อประจุกระแสไฟฟ้าราว 3-6 วัตต์ออกมาจ่ายให้กับวิทยุสื่อสาร

ล่าสุด ทางบริษัทฟาซิลิตี้ฯ กำลังร่วมมือกับสถาบันการศึกษาหลายแห่งของอังกฤษ เพื่อทดลองนำเอาแนวคิดเดียวกันนี้มาใช้เป็นพลังงานทางเลือก

แต่จะนำเอาชุดอุปกรณ์ปั่นหรือผลิตกระแสไฟฟ้าดังกล่าวไปติดตั้งไว้ใต้พื้นขั้นบันไดของสถานีรถไฟใต้ดิน

ไพรซ กล่าวว่า เทคโนโลยีที่ใช้ผลิตชุดอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าดังกล่าวอาจเป็นการผสมผสานกันระหว่างระบบ "ไฮโดรลิก" กับ "เพียโซอิเล็กทริก" ซึ่งเทคนิคอย่างหลังนี้ถ้าพูดให้เห็นภาพก็คือสิ่งที่ทำให้ "ปืนจุดเตาแก๊ส" มีประกายไฟฟ้าแลบออกมาเมื่อเรากดปุ่มที่ด้ามจับนั่นเอง

ดังนั้นเมื่อมีการนำชุดอุปกรณ์ตัวนี้ไปฝังไว้ใต้ขั้นบันได พอมีคนเดินขึ้นลงบันได (ซึ่งต้องออกแรงกดมากกว่าการเดินทางราบ) วัสดุเพียโซอิเล็กทริกที่อยู่ข้างใต้ก็จะถูกกดให้ปลดปล่อยไฟฟ้าออกมาเก็บไว้ในแบตเตอรี่เพื่อนำจ่ายให้ไฟส่องสว่าง รวมถึงอุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดอื่นๆ

จากการคำนวณเบื้องต้น การเดินขึ้นลงบันไดของคน 1 คนจะช่วยผลิตไฟฟ้า 6-8 วัตต์

สถานีรถไฟฟ้าในลอนดอนและแห่งมีคนใช้บริการวันละหลายหมื่น จึงถือว่าระบบๆ นี้เป็นอีกหนึ่งพลังงานทางเลือกที่น่าศึกษาอย่างจริงจังต่อไป

และในอนาคตอาจประยุกต์นำระบบๆ นี้ไปปั่นผลิตไฟฟ้าหล่อเลี้ยงภายในอาคารสำนักงาน 3