Tuesday, January 30, 2007

"มะเร็งสมอง" กับการใช้มือถือ

งานวิจัยเพื่อไขข้อข้องใจระหว่าง "คลื่นโทรศัพท์มือถือ" กับการเกิด "โรคมะเร็ง" ยังคงเดินหน้าต่อไป

เมื่อสัปดาห์ก่อน หนังสือพิมพ์เทเลกราฟเพิ่งรายงานว่า

งานวิจัยเกี่ยวกับภัยมือถือชิ้นล่าสุดเกิดขึ้นในประเทศฟินแลนด์ ดินแดนบ้านเกิดของบริษัทมือถือยักษ์ใหญ่เจ้าหนึ่งนั่นเอง

โดยมี "องค์การความปลอดภัยด้านรังสีและนิวเคลียร์" ของฟินแลนด์ รับหน้าที่เป็นผู้ทำการศึกษา

วิธีทำวิจัย ทางองค์การฯ แยกเก็บข้อมูลจากกลุ่มผู้ใช้มือถือ เกือบ 5,000 คน

แยกเป็นผู้ใช้มือถือที่ป่วยเป็นมะเร็งสมองชนิด "Gliomas" Z1,521 คน

และผู้ใช้ที่ไม่เป็นมะเร็งสมองอีก 3,301 คน

เมื่อไม่นำเอาปัจจัยเกี่ยวกับระยะเวลาของการใช้มือถือมาพิจารณา

คณะผู้วิจัยไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างมือถือกับการเกิดมะเร็งสมอง

อย่างไรก็ตาม เมื่อนำปัจจัยเรื่องเวลาเข้ามาจับ จะพบว่า

ร้อยละ 37 ของกลุ่มผู้ใช้มือถือที่เป็นมะเร็งสมอง ล้วนแล้วแต่มีประวัติการใช้มือถือมานานกว่า 10 ปี!

โดยมะเร็งที่ตรวจพบ ได้แก่ มะเร็งชนิด "Gliomas" หรือมะเร็งบริเวณระบบประสาท

นอกจากนั้น ตำแหน่งที่เกิดมะเร็งจะเกิดขึ้นภายในศีรษะข้างที่ต้องแนบติดกับตัวเครื่องมือถือเป็นประจำ

เบื้องต้นจึงตั้งสมมติฐานได้ว่า ความถี่และระยะเวลาการใช้มือถือนั้นยิ่งนานเท่าไหร่ ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงก่อให้เกิดมะเร็งสมอง

แต่เหมือนเคยครับ นั่นคือ ทันทีที่ข่าวชิ้นนี้แพร่ออกสู่สาธารณะ ฝ่ายสมาคมผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือในฟินแลนด์ก็ออกมาแถลงว่า การทดลองครั้งนี้ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถฟันธงลงไปได้ว่าการใช้มือถือสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งสมองอย่างแท้จริง

ใครเชื่อก็ขอให้ใช้มือถือเท่าที่จำเป็น ใครไม่เชื่อจะคุยวันละ 24 ชั่วโมงก็คงไปห้ามเขาไม่ได้หรอกครับ

Monday, January 29, 2007

เสนอสร้างยานอวกาศ รับมือดาวเคราะห์ชนโลก

ว่ากันตามตำรา ย้อนกลับไปประมาณ 65 ล้านปีก่อน "ไดโนเสาร์" ที่เพ่นพ่านอยู่บนโลกเราต้องตามหมู่ สูญพันธุ์ไปเพราะผลจากดาวเคราะห์น้อยลูกใหญ่พุ่งชนโลก

ส่วนถ้านับกันเฉพาะในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา...

เมื่อปีพ.ศ.2451 ดาวเคราะห์น้อยลูกเล็กก็เคยพุ่งผ่านชั้นบรรยากาศมาตกตูมลงไปแถบทังกัสกาของรัสเซีย

แรงระเบิดครั้งนั้นแรงพอๆ กับการทิ้งบอมบ์นิวเคลียร์ 15 เมกะตัน เผาไหม้ต้นไม้หายวับไปถึง 60 ล้านต้น ความเสียหายกินอาณาบริเวณ 2,150 ตารางกิโลเมตร โชคดีที่ทังกัสกาไม่ใช่เขตเมือง ไม่เช่นนั้นต้องมีคนตายเป็นเบือ!

ปัจจุบัน นักดาราศาสตร์ก็ยังมีความวิตกลึกๆ...ในอนาคตโลกคงหนีไม่พ้นถูกดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนครั้งใหญ่ซ้ำรอยยุคไดโนเสาร์ แม้ความเสี่ยงที่เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นมีน้อยแค่ 1 ใน 20,000

แต่ "เอ็ด ลู" มนุษย์อวกาศสังกัดสำนักงานบริหารอวกาศสหรัฐ (นาซ่า) และด๊อกเตอร์สาขาโซลาร์ฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยฮาวาย มั่นใจว่า ถ้ามนุษย์ไม่เตรียมการคิดค้นหาวิธีการสกัดกั้นไม่ให้ดาวเคราะห์น้อยโคจรมาทำอันตรายต่อโลกแต่เนิ่นๆ

ในวันข้างหน้าถ้ามนุษยชาติจะต้องสูญพันธุ์ไปเหมือนกับไดโนเสาร์...พวกเราคงต้องโทษตัวเองว่าประมาทกันเอง!

ในทรรศนะของเอ็ดมองว่า ภัยจากดาวเคราะห์น้อยชนโลกถือว่าร้ายแรงพอๆ กับภัยธรรมชาติทั้งสึนามิ แผ่นดินไหว พายุเฮอริเคน ที่เกิดขึ้นบนพื้นโลก

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เอ็ดเสนอแนวทางป้องกันภัยดาวเคราะห์น้อยต่อวงประชุมมหาวิทยาลัยฮาวาย ว่า ทำได้โดยการสร้าง "ยานอวกาศ" อัตโนมัติขึ้นมา เพื่อส่งออกไป "ดึง-ลาก" วิถีวงโคจรของดาวเคราะห์น้อยให้หักเหออกไปจากที่ตั้งของโลก

การลงทุนสร้างยานอวกาศรุ่นนี้จะต้องใช้เงินราวๆ 12,000 หมื่นล้านบาท

คำถามก็คือ จะมีรัฐบาล-องค์กรนานาชาติ หรือหน่วยงานไหน เห็นดีเห็นงามถึงขั้นยอมลงขันจ่ายเงินสนับสนุนการสร้าง?

ในอนาคตอันใกล้ ดาวเคราะห์น้อยที่มีโอกาสชนโลกมากที่สุดมีชื่อว่า Apophis โดยจะเคลื่อนมาใกล้โลกในปี 2572 และอาจกลับมาชนโลกในปี 2579 ถ้าวงโคจรของมันเกิดความผันแปร

ก็อย่างที่บอกตอนต้นครับ โอกาสโลกถูกวัตถุจากห้วงอวกาศเช่นดาวเคราะห์น้อยชนโครมนั้นมีน้อยมาก

แต่ธรรมชาติก็ให้บทเรียนแสนเจ็บปวดกับมนุษย์มาแล้วหลายครั้งว่า สิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิด บางครั้งมันก็เกิดโดยไม่ทันตั้งตัว!

Monday, January 22, 2007

จุดเด่น-จุดด้อยมือถือ'ไอโฟน'


ขึ้นชื่อว่า "สตีฟ จ๊อบส์" บิดา "แอปเปิล คอมพิวเตอร์" เวลาทำอะไรต้องออกแอ็กชั่น ยิ่งใหญ่ ล้ำหน้ากว่าชาวบ้านเสมอ

ปัจจุบัน "แอปเปิล คอมพิวเตอร์" เปลี่ยนชื่อเป็น "แอปเปิล อิงก์" เพื่อล้างภาพจากในอดีตที่คนมองว่าเชี่ยวชาญเฉพาะการพัฒนาคอมพิวเตอร์ ให้กลายมาเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในสินค้าหมวดอิเล็กทรอนิกส์ประเภทอื่นๆ

และสินค้า ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น "พระเอก" ตัวแรกของแอปเปิล อิงก์ ก็คือ

โทรศัพท์มือถือหน้าตาชวนให้เสียเงินซื้อ รุ่น ไอโฟน

จ๊อบส์เปิดตัวไอโฟนในงานแม็คเวิลด์ นครซานฟรานซิสโก เมื่อเร็วๆ นี้ เรียกเสียงฮือฮาจากสาวก "ลัทธิแอปเปิล" รวมถึงสื่อมวลชนสายไอทีทั่วโลก

มือถือไอโฟนมีคุณสมบัติการทำงาน 3 ประสาน...

1. เป็นมือถือสมาร์ทโฟน

2. เป็นเครื่องเล่นเพลงดิจิตอลไอพ็อด

3. เป็นเครื่องมือสื่อสาร ใช้เชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (อินเตอร์เน็ต คอมมิวนิเคชั่นส์ ดีไวซ์)

สเป็กและฟังก์ชั่นการทำงานของไอโฟนนั้นจุดเด่นประกอบด้วย

1. หน้าจอสั่งงานแบบสัมผัส (ทัชสกรีน) ขนาดใหญ่ 3.5 นิ้ว แสดงภาพด้วยความละเอียด 320x480x160 พิกเซล

2. หน่วยความจำมี 2 รุ่นให้เลือก 4 GB ราคา 499 เหรียญสหรัฐ กับ 8 GB 599 เหรียญ

3. ระบบเชื่อมต่อข้อมูลผ่านเครือข่ายด้วยเทคโนโลยี 2.5 จี (EDGE)

4. มีเซ็นเซอร์ ปรับการแสดงภาพแนวตั้ง-แนวนอนโดยอัตโนมัติ

5. ระบบวิชวล วอยซ์เมล์ เลือกฟังเสียงฝากในเมล์บ็อกซ์โดยไม่ต้องเรียงลำดับ

6. กล้อง 2.0 เมกะพิกเซล และระบบเชื่อมต่อไร้สายบลูทูธและไว-ไฟ

ไอโฟนของจริงจะวางตลาดเฉพาะในสหรัฐช่วงเดือนมิถุนายน 2550 ส่วนเอเชียต้องรอปีหน้า

สำหรับ "จุดด้อย" ที่สื่อฝรั่งด้วยกันเค้าถลกหนังไอโฟนออกมาหลายประเด็น

ข้อแรก การจะใช้ไอโฟนได้ก็เหมือนมัดมือชกกลายๆ

เพราะต้องสมัครเป็นลูกค้าใช้บริการเครือข่ายมือถือกับบริษัทซิงกูลาร์ เป็นเวลา 2 ปีเต็ม (ในอนาคตบริษัทนี้จะไปรวมกับเอทีแอนด์ที)

ข้อต่อมา ไอโฟนที่จะออกวางตลาดในสหรัฐอเมริกาช่วงเดือนมิถุนายนนั้น ใช้เทคโนโลยี 2.5 จี

ปัจจุบัน นักวิจารณ์มือถือหลายสำนักก็ยังงงถ้วนหน้าว่า เหตุใด "สตีฟ จ๊อบส์" ผู้บริหารแอปเปิ้ลจึงไม่พัฒนาไอโฟนให้ใช้ได้กับมาตรการการทำงานเครือข่ายมือถือยุคที่ 3 หรือ "3 จี" ซึ่งรองรับระบบการทำงานรูปแบบไฟล์มัลติมีเดียเหนือชั้นกว่า 2.5 จี

อีกประเด็นหนึ่ง คือ เรื่องของ "หน้าจอทัชสกรีน"

ที่ผ่านมา...หน้าของเครื่องเล่นไฟล์ดิจิตอล "ไอพ็อด" ของแอปเปิ้ล มีปัญหาเรื่องถูกขีดข่วนเป็นรอยง่าย

จึงมีคนตั้งข้อสงสัยว่า ในเมื่อจอไอโฟนก็ดึงมาจากไอพ็อด จะเกิดปัญหาเดียวกันนี้หรือไม่ ซึ่งยังไม่มีใครตอบได้ เพราะทางแอปเปิ้ลไม่ได้แจกตัวอย่างเครื่องไอโฟนมาให้นักวิจารณ์ทดลองใช้

จุดอ่อนอีกประการเป็นเรื่องของ "แบตเตอรี่" ที่ทางแอปเปิ้ลฝังติดเอาไว้ในเครื่องไอโฟนเลย

ลูกค้าถอดเปลี่ยนเองไม่ได้

เวลาเสียขึ้นมาต้องส่งซ่อมศูนย์สถานเดียว ทำให้ช่วงนั้นจะไม่มีโทรศัพท์ใช้

อย่างไรก็ตาม เหมือนกับที่บอกไว้เมื่อวาน นั่นคือ หน้าตาของเครื่องไอโฟนถือว่าน่าจะ "โดน" ใจตลาด

แนวๆ ว่า แค่ซื้อมาถือไว้เล่นๆ ก็โก้ตายชัก ส่วนจะมีมือถือคุณภาพพอๆ กันแต่ราคาถูกกว่าไอโฟนก็ไม่เป็นไร

มีกะตังค์เสียอย่างใครจะทำไมล่ะครับ!

จุดเด่น-จุดด้อยมือถือ'ไอโฟน

ขึ้นชื่อว่า "สตีฟ จ๊อบส์" บิดา "แอปเปิล คอมพิวเตอร์" เวลาทำอะไรต้องออกแอ็กชั่น ยิ่งใหญ่ ล้ำหน้ากว่าชาวบ้านเสมอ

ปัจจุบัน "แอปเปิล คอมพิวเตอร์" เปลี่ยนชื่อเป็น "แอปเปิล อิงก์" เพื่อล้างภาพจากในอดีตที่คนมองว่าเชี่ยวชาญเฉพาะการพัฒนาคอมพิวเตอร์ ให้กลายมาเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในสินค้าหมวดอิเล็กทรอนิกส์ประเภทอื่นๆ

และสินค้า ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น "พระเอก" ตัวแรกของแอปเปิล อิงก์ ก็คือ

โทรศัพท์มือถือหน้าตาชวนให้เสียเงินซื้อ รุ่น "ไอโฟน"

จ๊อบส์เปิดตัวไอโฟนในงานแม็คเวิลด์ นครซานฟรานซิสโก เมื่อเร็วๆ นี้ เรียกเสียงฮือฮาจากสาวก "ลัทธิแอปเปิล" รวมถึงสื่อมวลชนสายไอทีทั่วโลก

มือถือไอโฟนมีคุณสมบัติการทำงาน 3 ประสาน...

1. เป็นมือถือสมาร์ทโฟน

2. เป็นเครื่องเล่นเพลงดิจิตอลไอพ็อด

3. เป็นเครื่องมือสื่อสาร ใช้เชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (อินเตอร์เน็ต คอมมิวนิเคชั่นส์ ดีไวซ์)

สเป็กและฟังก์ชั่นการทำงานของไอโฟนนั้นจุดเด่นประกอบด้วย

1. หน้าจอสั่งงานแบบสัมผัส (ทัชสกรีน) ขนาดใหญ่ 3.5 นิ้ว แสดงภาพด้วยความละเอียด 320x480x160 พิกเซล

2. หน่วยความจำมี 2 รุ่นให้เลือก 4 GB ราคา 499 เหรียญสหรัฐ กับ 8 GB 599 เหรียญ

3. ระบบเชื่อมต่อข้อมูลผ่านเครือข่ายด้วยเทคโนโลยี 2.5 จี (EDGE)

4. มีเซ็นเซอร์ ปรับการแสดงภาพแนวตั้ง-แนวนอนโดยอัตโนมัติ

5. ระบบวิชวล วอยซ์เมล์ เลือกฟังเสียงฝากในเมล์บ็อกซ์โดยไม่ต้องเรียงลำดับ

6. กล้อง 2.0 เมกะพิกเซล และระบบเชื่อมต่อไร้สายบลูทูธและไว-ไฟ

ไอโฟนของจริงจะวางตลาดเฉพาะในสหรัฐช่วงเดือนมิถุนายน 2550 ส่วนเอเชียต้องรอปีหน้า

'อีเอ็นวี'มอเตอร์ไซค์เซลล์เชื้อเพลิงคันแรกของโลก


รถยนต์ที่ใช้ เซลล์เชื้อเพลิง เป็นพลังงานแทนน้ำมันนั้นเราคงพอเห็นผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่หลายค่ายทดลองพัฒนากันอยู่

ผิดกับรถจักรยานยนต์ หรือ มอเตอร์ไซค์ ที่เราไม่ค่อยเห็นการนำเซลล์เชื้อเพลิงมาใช้ขับเคลื่อนมากเท่าไหร่รัก

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดบริษัทอินเทลลิเจนต์ เอเนอร์ยี ของอังกฤษ ก็เพิ่งเปิดตัวต้นแบบจักรยานยนต์พลังเซลล์เชื้อเพลิง ซึ่งวิ่งบนท้องถนนได้จริงๆ อย่างมีประสิทธิภาพเป็นครั้งแรกของโลก

มีชื่อรุ่นว่า อีเอ็นวี

อย่างที่เราทราบกันว่า ยวดยานพาหนะทั่วไปนั้นพ่นมลพิษจำพวกไฮโดรคาร์บอน กับ คาร์บอนมอนน็อกไซด์ออกมาจากท่อไอเสีย เมื่อสูดดมสะสมเข้าสู่ร่างกายนานวันเข้าก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

แต่สำหรับยานพาหนะ รวมถึงจักรยานยนต์อีเอ็นวี ซึ่งใช้เซลล์เชื้อเพลิง จะไม่มีการปล่อยควันพิษออกมา

เพราะสิ่งเดียวที่จะเล็ดรอดออกมาจากท่อไอเสียก็คือ น้ำ ล้วนๆ

โดยเซลล์เชื้อเพลิงที่ติดตั้งกับอีเอ็นวี สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้า 6 กิโลวัตต์เข้าสู่ระบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน

การออกตัวแรงและเร็ว แต่ขณะนี้ยังทำความเร็วสูงสุดได้เพียง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

อาจไม่ถูกใจสิงห์แมงกะไซค์ แต่ส่งผลดีต่อสภาพแวดล้อมและช่วยรักษาชีวิตผู้ขับขี่

จุดเด่นของอีเอ็นวี ยังอยู่ที่โครงสร้างตัวถังที่ผลิตจากวัสดุอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้สร้างเครื่องบิน

ส่งผลให้ตัวรถมีน้ำหนักเบาแค่ 80 กิโลกรัม (รวมน้ำหนักเซลล์เชื้อเพลิงแล้ว)

นอกจากนั้น การขับขี่ก็ไม่ซับซ้อนเนื่องจากเป็นเครื่องยนต์เกียร์เดียว

ฝ่ายประชาสัมพันธ์อินเทลลิเจนต์ เอเนอร์ยี บอกผ่านสื่ออังกฤษว่า มีแผนส่งอีเอ็นวีวางตลาดภายในไม่เกินสิ้นปีนี้ เพื่อรอการพิสูจน์คุณภาพจากสิงห์นักบิดทั้งหลายกันต่อไป

Thursday, January 11, 2007

"บอลลูน"ไฮเทค ปั่นไฟฟ้าเลี้ยงหมู่บ้าน

พลังงานลมนั้นมีข้อดีแน่ๆ คือ เป็นของฟรีจากธรรมชาติ และไม่ปล่อยควันพิษสู่ชั้นบรรยากาศเหมือนกับไฟฟ้าถ่านหิน

แต่ปัญหาใหญ่ที่มักเข้ามาขวางการวางแผนพัฒนาพลังงานลมมี 2-3 ข้อด้วยกัน

เช่น การจัดหาสถานที่ติดตั้งกังหันเทอร์ไบน์

การต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่ที่ใช้ทำฟาร์มกังหันลม

และต้นทุนของการวางระบบที่ยังสูงพอสมควร

อย่างไรก็ตาม ถึงที่สุดแล้วในอนาคตเชื่อแน่ว่าเมื่อวิกฤตโลกร้อนเลวร้ายกว่านี้ หรือ เกิดภาวะน้ำมันขาดแคลนขึ้น...

ผลสุดท้ายมนุษย์ย่อมต้องหันไปหาวิธีใช้ประโยชน์จากพลังงานธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นลม แสงอาทิตย์ คลื่น แก๊สชีวภาพ ฯลฯ อยู่ดี

ในส่วนของพลังงานลม ล่าสุด บริษัทเมเก็นน์ พาวเวอร์ สหรัฐฯ กำลังพัฒนาอุปกรณ์ดักกระแสลมมาใช้โดยไม่ต้องตั้งกังหัน

แต่เปลี่ยนเป็นส่ง "บอลลูน" ขึ้นไปลอยอยู่บนฟ้าแทน

ระบบดังกล่าวเรียกว่า "พาวเวอร์ แอร์ โรเตอร์" โดยตัวบอลลูนจะลอยขึ้นไปอยู่ที่ระดับความสูง 1,000 ฟุต

และมีช่องเปิดทางให้ลมพัดผ่านเข้าไปหมุนตัวปั่นไฟ

จากนั้นก็ส่งกระแสไฟฟ้าที่ได้กลับมายังสถานีภาคพื้นดินผ่านสายเคเบิล ที่ยึดบอลลูนกับพื้นดิน

"แม็ค บราวน์" ผู้บริหารเมเก็นน์ พาวเวอร์ ระบุว่า ถ้าพัฒนาเสร็จสมบูรณ์บอลลูน 1 ลูกจะผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณ 4 กิโลวัตต์ เหมาะสำหรับใช้ในหมู่บ้านตามพื้นที่ชนบทห่างไกลไฟฟ้าเข้าไม่ถึง

ข้อดีของบอลลูนปั่นไฟฟ้า คือ อัตราความเร็วของกระแสลมที่พัดเข้ามายังระบบปั่นไฟนั้นมีความคงที่ และติดตั้งที่ไหนก็ได้

เบื้องต้นวางแผนจะทดลองจำหน่ายในพื้นที่ชนบทของปากีสถานและอินเดีย

ถ้าระบบทำงานได้ดีจะเสนอขายต่อให้ประเทศกลุ่มอเมริกาเหนือและยุโรปต่อไป

Monday, January 08, 2007

เว็บตุ๋น"อะเมซอน" อาละวาดรับปีใหม่2550

เริ่มต้นปีใหม่มาได้ไม่กี่วัน

"โจรอินเตอร์เน็ต" ก็ออกอาละวาดป่วนชาวโลกทันที

หนนี้เล่นหนักข้อ เพราะส่งอีเมล์ต้มตุ๋นสมาชิก-ลูกค้าของเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซระดับโลกอย่าง "อะเมซอน" (Amazon.com)

โดยอ้างว่าการลงทะเบียนของลูกค้ามีปัญหา ขอให้เข้าไปแก้ไขข้อมูลในเว็บไซต์ที่ทำลิงก์มาใหม่

แถมเมื่อกดลิงก์ตามเข้าไปก็พบว่ามีหน้าตาเหมือนกับเว็บอะเมซอนจริงๆ

จุดมุ่งหมายของโจรกลุ่มนี้คือ ต้องการหมายเลขประกันสังคม และบัตรเครดิตของลูกค้า

กลโกงออนไลน์แบบนี้เรียกว่า "Phishing"

ขณะเดียวกันที่เมืองไทยของเราเมื่อสัปดาห์ก่อน ทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ก็แจ้งข่าวมาว่า

มีกลุ่มคนจัดทำเว็บไซต์ www.boi-express.com ซึ่งลอกเลียนชื่อเว็บมาจากบีโอไอ

และทำลิงก์เชื่อมต่อไปยังเว็บจริงๆ ของบีโอไออีกด้วย

พฤติกรรมของผู้จัดทำเว็บแห่งนี้จะขอเงินบริจาคเข้าบัญชีกสิกรไทยจากผู้สนใจและอ้างว่าสามารถให้คำปรึกษาด้านการขอสิทธิบีโอไอแบบฟรีๆ ไม่เสียค่าใช้จ่าย

บีโอไอจึงฝากเตือนว่า ไม่เกี่ยวข้องกับเว็บดังกล่าว อีกทั้งการทำเรื่องขอบีโอไอนั้นก็ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ อยู่แล้ว

เบื้องหน้าเบื้องหลังของเว็บ www.boi-express.com นั้น ตำรวจกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี น่าจะลองตรวจสอบดูว่าโปร่งใสหรือไม่อย่างไร เพราะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของหน่วยงานการค้าการลงทุนระดับชาติ

สำหรับประชาชนทั่วไปอย่างเราๆ ท่านๆ การป้องกันตัวเบื้องต้นจากแก๊ง Phishing หรือเว็บต้มตุ๋นทั้งหลาย คืออย่าไปเชื่ออะไรง่ายๆ

ถ้าคิดว่าจำเป็นจะต้องกรอกข้อมูลส่วนตัวใดๆ ก็ตามให้โทรศัพท์สอบถามสำนักงานใหญ่ให้รู้ข้อมูลที่แท้จริงก่อนเป็นดีที่สุด!

Tuesday, January 02, 2007

โลกอินเตอร์เน็ต2550

ท่านที่ชอบติดตามข่าวสารเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ลองตัดคอลัมน์วันนี้เก็บไว้ตรวจผลตอนปลายปีสนุกๆ ว่า...

สิ่งที่กองบรรณาธิการนิตยสาร "ไวร์" สื่อไฮเทคเล่มดังของสหรัฐอเมริกา คาดการณ์ไว้ว่าจะเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นภายในสิ้นปี 2550 นี้จะเป็นจริงมาก-น้อยขนาดไหน

เริ่มต้นเลย "ไวร์" บอกไว้ว่า 1. มูลค่าหุ้นของเว็บไซต์สืบค้นข้อมูลยักษ์ใหญ่จะยังคงดีและพุ่งขึ้นไปถึงหลัก 1,000 เหรียญต่อหุ้น ซึ่งก็ไม่ทราบว่าที่พยากรณ์แบบนี้ เพราะกูเกิ้ลกำลังจับมือกับ "นาซ่า" เพื่อพาชาวโลกท่องอวกาศผ่านเว็บหรือไม่

2. นอกจากนั้น กูเกิ้ลยังจะถูกหน่วยงานยุติธรรมจากภาครัฐ เช่น เอฟบีไอของสหรัฐ บีบให้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานมากขึ้น เพื่อช่วยในการสอบสวนคดีต่างๆ

3. ช่วงปลายปีนี้ปริมาณการใช้งานอินเตอร์เน็ตจะเพิ่มเป็น 5,000 petabits ต่อวัน ในจำนวนนี้ร้อยละ 80 จะเป็นการใช้งานเพื่อดาวน์โหลดข้อมูลกลุ่มไฟล์แชร์ริ่งจากโปรแกรม อาทิ บิตเทอร์เรนต์

4. ปริมาณ "สแปมเมล์" หรือ อีเมล์โฆษณาขยะและอีเมล์ต้มตุ๋นจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน

5. ครึ่งหนึ่งของคอมพิวเตอร์ที่ขายทั่วโลกในปีนี้จะเป็นคอมพิวเตอร์กลุ่ม โน้ตบุ๊ก

6. หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่บางฉบับในสหรัฐจะเลิกพิมพ์ด้วยกระดาษ และขายผ่านเว็บไซต์เท่านั้น!?
7. การแข่งขันชิงความเป็นผู้นำมาตรฐานใหม่ของ "ดีวีดี" ระหว่าง "เอชดี-ดีวีดี" กับ "บลูเรย์" จะจบลงด้วยชัยชนะของเอชดี-ดีวีดี

8. "Digg" เว็บไซต์ชื่อดังที่เปิดให้สมาชิกช่วยกันคัดเลือกและโหวตข่าวที่น่าสนใจ จะถึงกาลอวสาน เพราะมีการโหวต "ข่าวขยะ" เข้ามามากเกินไป

9. รัฐสภาสหรัฐจะผ่านกฎหมายบังคับให้ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ไอเอสพี) เก็บข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าเอาไว้นาน 3 ปี เช่น อีเมล์และการเข้าเว็บต่างๆ ซึ่งต้องดูต่อไปว่ารัฐบาลประเทศอื่นๆ จะปฏิบัติตามอย่างหรือไม่

พอถึงเดือนธันวาคมแล้วค่อยลองอ่านดูอีกทีนะครับว่าถูก-ผิดกันสักกี่เปอร์เซ็นต์

Monday, January 01, 2007

พยากรณ์เทคโนโลยีเปลี่ยนวิถีชีวิตมนุษย์

ขึ้นปีใหม่ 2550 ทั้งทีย่อมเป็นธรรมเนียมที่บริษัท-สำนักคิดดังๆ ระดับสากล ต้องพยากรณ์อนาคตกันหลากหลายแง่มุมตามความถนัด
สำหรับปีนี้ “ไอดีซี” บริษัทวิเคราะห์เจาะลึกข้อมูลด้านตลาดเทคโนโลยีชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ก็ออกมาจินตนาการถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับสังคมมนุษย์ภายใน 10 ปีข้างหน้าเช่นกัน
โดยดูว่าเทคโนโลยีและนวัตกรรมจะส่งผลกระทบต่อชีวิตพลเมืองโลกอย่างไรบ้าง
“จอห์น แกนซ์” หัวหน้าแผนกวิจัยไอดีซี ให้สัมภาษณ์นิตยสาร Wired ว่า
ทางทีมงานได้พยากรณ์แนวโน้มใหม่ๆ หลายเรื่อง แต่ที่คิดว่ามีความเป็นไปได้สูงแยกออกมาได้ 3-4 ประเด็น นั่นคือ
1. คาดว่าเทคโนโลยี “ท่อนาโน” (นาโนทิวบ์) จะเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำไปใช้เป็นวัสดุสำหรับก่อสร้างบ้าน หรืออาคารต่างๆ ที่สามารถทนทานต่อสภาพภัยธรรมชาติที่รุนแรง เช่น พายุเฮอร์ริเคน น้ำท่วม แผ่นดินไหว
สาเหตุเพราะบ้านที่สร้างด้วยท่อนาโน ซึ่งผลิตจากอนุภาคของคาร์บอนนั้น จะแข็งแกร่งมากกว่าเหล็กนับพันเท่า
2. อินเตอร์เน็ตยุคใหม่ หรือที่เรียกว่า “ซีแมนติกเว็บ” จะช่วยให้ผู้ใช้งานสืบค้นข้อมูลได้แม่นยำและตรงกับความต้องการมากขึ้น เพราะเทคโนโลยีชนิดนี้จะทำให้ “คอมพิวเตอร์” กับ “เว็บไซต์” สื่อสารกันรู้เรื่อง
ผมเคยเขียนถึงเรื่องนี้เอาไว้แล้ว โดยเรียกมันว่า “เว็บไซต์ฉลาด” ถ้าท่านใดสนใจลองไปดูเพิ่มเติมได้ที่บล็อก http://futurethai.blogspot.com/2006/06/www2006.html ครับ
3. เทคโนโลยีการฝังตัว “เซ็นเซอร์” ขนาดเล็กเข้าไปในระบบประสาทของร่างกายคนเรา เพื่อรอรับการสั่งงานจากคอมพิวเตอร์ น่าจะใช้ได้จริงภายในไม่เกิน 10 ปีนี้
ระบบเซ็นเซอร์ดังกล่าวจะทำให้ผู้พิการแขน-ขา ขยับไม่ได้ หรือเป็นอัมพาตบางจุด กลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง แม้ไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็อยู่ในระดับที่ช่วยให้ดำเนินชีวิตประจำวันสะดวกกว่าเดิม
เป็นการพยากรณ์ที่ต้องรอดูกันต่อไปว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่