Wednesday, March 29, 2006

สแกนใบหน้า ตรวจหา"ผู้ร้าย"

ศาสตราจารย์มาร์คอส โรดริเกส แห่งสถาบันวิจัยวัสดุศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ (MERI) ประเทศอังกฤษ บอกว่า

ระบบเข้ารหัสชีวภาพ หรือ รักษาความปลอดภัยด้วยการใช้คอมพิวเตอร์สแกนอ่านลักษณะของ "ใบหน้า" เพื่อพิสูจน์ตัวตนนั้นมีความปลอดภัยสูง

แต่สาเหตุที่มักเห็นแค่ในจอภาพยนตร์ไซ-ไฟ และไม่ได้รับความนิยมแพร่หลายในชีวิตจริงก็เพราะ "ราคา" ของระบบที่มีคุณภาพสูงยังแพงอยู่มาก เกินหลักล้านบาทขึ้นไป เนื่องจากอุปกรณ์ในการติดตั้งระบบมีหลายชนิด เช่น กล้องจับภาพก็มี 3-4 ตัวเข้าไปแล้ว

ไม่นับรวบระบบประมวลผลคอมพิวเตอร์ที่ยุ่งยากซับซ้อน เพราะการเข้าไปยืนให้กล้องจับภาพนั้นต้องอยู่นิ่งสุดๆ ชนิดห้ามกระดิกตัวนานหลายนาที ไม่อย่างนั้นการสแกนใบหน้าจะไม่ได้ผล

ล่าสุด ทางสถาบัน MERI กับนักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ฮัลลัม จึงกำลังร่วมกันพัฒนาโปรแกรมและระบบคอมพิวเตอร์พิสูจน์ใบหน้ารูปแบบใหม่ ที่สามารถให้คำตอบได้ภายในเวลาไม่ถึง 1 วินาที ซึ่งถือว่าเร็วมาก สามารถนำไปติดตั้งใช้รักษาความปลอดภัยตามสนามบิน ธนาคาร หรือแม้แต่ใช้เก็บข้อมูลใบหน้าของประชากรเอาไว้ในฐานข้อมูลของหน่วยราชการได้เลย

วิธีการทำงานของระบบนี้มีอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์หลักแค่ 2 ชิ้น ได้แก่ โปรเจ๊กเตอร์ฉายแสง กับ กล้อง 1 ตัว ซึ่งเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ ทำให้ราคาลดต่ำลงมาเหลือแค่ระดับหลักหมื่นบาท

โดยเมื่อฉายแสงลงไปบนหน้าและใช้กล้องถ่ายเรียบร้อยแล้ว ภาพใบหน้าของคนๆ นั้นจะกลายเป็นภาพ 3 มิติและถูกคอมพิวเตอร์ประมวลผลเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลใบหน้าบุคคลต้องสงสัย เพื่อดูว่าตรงกับอาชญากรที่ทางการส่งเรื่องมาหรือไม่

ศ.มาร์คอส กล่าวว่า ระบบที่คิดค้นขึ้นมาต้องผ่านการทดสอบอีกหลายขั้นตอน และหวังว่าจะช่วยสร้างประโยชน์ต่อสังคมในอนาคต

Monday, March 27, 2006

เครื่องฟอกเลือดพกพา กำจัดไวรัสอาวุธชีวภาพ

ในยุคภัย "ก่อการร้าย" ระบาดลุกลามราวกับไวรัสไข้หวัดนกเช่นทุกวันนี้

สังคมสหรัฐอเมริกา หวาดกลัวกันมากว่า สักวันหนึ่งจะถูกประเทศคู่อริ รวมถึงกลุ่มก่อการร้าย

ใช้ "อาวุธชีวภาพ-อาวุธเชื้อโรค" โจมตี!

เทคโนโลยีสำหรับรับมือกับอาวุธชีวภาพจึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด

หนึ่งในกลุ่มนั้น คือ ชุดเครื่องกรองและฟอกอาวุธเชื้อโรคออกจากเลือดขนาดพกพา ที่มีชื่อเรียกว่า "ฮีโมเพียวริฟายเออร์"

พัฒนาโดยบริษัทเอธลอน เมดิคัล ในนครซานดิเอโก สหรัฐอเมริกา

ลักษณะการทำงานของเครื่องฟอกเลือดชนิดนี้ คล้ายกับเครื่องฟอกไตตามโรงพยาบาล

แตกต่างกันตรงที่ภายในท่อของเครื่องฮีโมเพียวริฟายเออร์นั้นเคลือบด้วยสาร "แอนติบอดี้"

ซึ่งใช้สำหรับถอนพิษไวรัสที่อยู่ในอาวุธเชื้อโรคประเภทต่างๆ

เบื้องต้น นักวิจัยของเอธลอน เมดิคัล กำหนดให้ตัวเครื่องกรองสามารถกำจัดไวรัสไข้ทรพิษ ไวรัสมาร์เบิร์ก และอีโบลา ออกจากเลือด

วิธีใช้งานทำโดยการต่อท่อเครื่องกรองเข้ากับเส้นเลือดของบุคคลที่ถูกพิษเชื้อโรคเล่นงาน

จากนั้น ตัวเครื่องกรองจะใช้เวลาประมาณ 12 นาที ฟอกเลือดทั้งหมดที่อยู่ในร่างกายประมาณ 5 ลิตรจนปลอดจากไวรัส

ล่าสุด มีการส่งตัวอย่างเครื่องฮีโมเพียวริฟายเออร์ไปให้ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐ ทดลองประสิทธิภาพแล้ว

เพื่อรอการอนุมัติเริ่มต้นขั้นตอนทดลองใช้กับมนุษย์จริงๆ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มลงมือกันภายในสิ้นปีนี้

Sunday, March 26, 2006

ฐานข้อมูล"ลายฝ่ามือ" ทีเด็ดตร.ผู้ดีจับโจรยุคไอที

ตลอด2 ปีที่ผ่านมา ตำรวจพิสูจน์หลักฐานในอังกฤษ แคว้นเวลส์ และสกอตแลนด์ ริเริ่มโครงการปราบโจรยุคไอทีร่วมกัน

มีชื่อว่าโครงการระบบพิสูจน์บุคคล "ไอเดนต์ วัน"

เป็นการเก็บบันทึกข้อมูล "ลายฝ่ามือ" (Palm Print) ของบรรดาคนร้าย ผู้ต้องหา ผู้ต้องสงสัย ที่เกี่ยวข้องในคดีอาชญากรรมต่างๆ

จากนั้นก็นำข้อมูลลายฝ่ามือที่ได้มาเก็บไว้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ในรูปแบบของฐานข้อมูลดิจิตอลออนไลน์

ช่วยให้การติดตามหาตัวคนร้ายทำได้ง่าย แม่นยำ และรวดเร็วมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

หน่วยงาน "ไพโต" หรือตำรวจแผนกเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ของอังกฤษ เป็นผู้รับผิดชอบแผนไอเดนต์ วัน โดยระบุว่า

ที่ผ่านมาหลักฐาน "ลายนิ้วมือ" ในที่เกิดเหตุก็ใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการคลี่คลายคดี

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาหลักฐานในจุดเกิดเหตุทั่วประเทศอังกฤษ พบว่า

หลักฐานร้อยละ 20 ที่คนร้ายมักทิ้งร่องรอยไว้ก็คือ "ลายฝ่ามือ"

ดังนั้น ตำรวจในอังกฤษ เวลส์ และสกอตแลนด์ จึงเริ่มต้นนำข้อมูลลายฝ่ามือมาผสานเข้ากับฐานข้อมูลลายนิ้วมือ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการตามล่าตัวผู้กระทำความผิด

เมื่อโครงการนำร่องไอเดนต์ วัน ผ่านไประยะหนึ่งจะมีการยกเลิกฐานข้อมูลลายนิ้วมือทิ้งทั้งหมด และนำฐานข้อมูลลายฝ่ามือมาใช้แทนเต็มรูปแบบ เพราะความผิดพลาดของระบบใหม่นี้ถือว่าน้อยมาก

นอกจากนั้น ในอนาคตหน่วยไพโตยังเตรียมตัวเดินหน้านำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาสนับสนุนการทำงานด้านพิสูจน์บุคคล ภายใต้โครงการไอเดนต์ วัน เพิ่มเติมขึ้นอีก

นั่นคือ พิสูจน์บุคคลด้วยการใช้คอมพิวเตอร์เปรียบเทียบลักษณะโครงสร้าง "ใบหน้า" ของผู้ต้องสงสัย

ข้อดีของการนำเทคโนโลยีไฮเทคมาใช้แบบนี้อย่างน้อยก็ส่งผลดีด้านจิตวิทยาก็คือ ขู่ให้พวกคิดจะทำชั่วรู้ว่าโอกาสหลบหนีหายเข้ากลีบเมฆคงไม่ง่ายดายเหมือนในอดีต

Wednesday, March 22, 2006

อาร์เอฟไอดี-เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก

ในหมู่นักเทคโนโลยีมีความเชื่อมั่นว่า นวัตกรรม อาร์เอฟไอดี (RFID : Radio Frequency Identification) จะเข้ามามีบทบาทเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตประจำวันของพลเมืองโลกในอนาคต

สำหรับประเทศไทย มีการนำ RFID มาใช้แต่ยังไม่แพร่หลายมากนัก หลายท่านคงเคยใช้งานโดยไม่รู้ตัว เช่น ระบบจ่ายเงินของรถไฟฟ้าใต้ดินกรุงเทพฯ

RFID เป็นระบบเก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วยอุปกรณ์หลัก 2 ชิ้น

นั่นคือ แท็ก (ตัวเก็บข้อมูล) กับตัว เครื่องอ่านข้อมูล

โดยมีคลื่นวิทยุทำหน้าที่เป็นตัวกลางส่งผ่านข้อมูลดังกล่าว

ประเมินกันว่าอีกไม่ช้าไม่นาน RFID จะเข้ามามีบทบาทมากด้านการค้าขายตั้งแต่ระดับ ระหว่างประเทศ เรื่อยมาจนถึง ภายในประเทศ อาทิ การจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้า

วาดภาพ RFID ในห้างก็เช่น เมื่อเราจับจ่ายหยิบสินค้าที่ติดแท็กมาใส่กองเต็มรถเข็น พอเข็นรถเข้าไปในจุดอ่านข้อมูล ราคาสินค้าทั้งหมด รวมทั้งข้อมูลชื่อผู้ผลิต วันหมดอายุ ฯลฯ จะปรากฎขึ้นมาทันที พอจ่ายเงินเสร็จ ประตูทางออกก็เปิดให้เราออกไป

ล่าสุด กระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารของญี่ปุ่น มองว่า RFID มีศักยภาพมากกว่าจะใช้เฉพาะเรื่องค้าๆ ขายๆ

ขณะนี้จึงกำลังพัฒนาแท็ก RFID ขนาดเล็กหน้าและยาวไม่กี่เซนติเมตร ซึ่งทำหน้าที่ตรวจจับความร้อนและแรงสั่นสะเทือน

เพื่อใช้สำหรับปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ที่ระบบสื่อสารล่ม เช่น จุดเกิดเหตุแผ่นดินไหว

หลักการทำงานเบื้องต้น คือ ส่งเฮลิคอปเตอร์ไปโปรยแท็ก RFID นับหมื่นชิ้น ครอบคลุมบริเวณพื้นที่ประสบภัย

ต่อมา ตัวแท็กเหล่านี้จะแยกแยะออกว่าความร้อนที่แผ่ออกมาจากจุดต่างๆ นั้นมีที่มาจากไฟหรือจากร่างกายผู้ประสบภัย

นอกจากนั้น ยังแยกรูปแบบแรงสั่นสะเทือนออกด้วยว่ามาจากพื้นดินเขย่า อาคารสั่น หรือคนกำลังตะเกียกตะกายหนีตายกันอยู่

เมื่อรู้ข้อมูลแล้วหน่วยกู้ภัยจะได้ลงไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยถูกจุด และทางการญี่ปุ่นเตรียมทดสอบเทคโนโลยีนี้ในปี 2550

Sunday, March 19, 2006

ระบบดาวเทียมจีพีเอส ติดตามตัวมาเฟียมะกัน

ผู้ดูแลรับผิดชอบกระบวนการยุติธรรม ทั้งในประเทศพัฒนาแล้ว หรือ กำลังพัฒนา ต่างพยายามใช้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสื่อสาร-ไอที ในการปราบปรามและบริหารจัดการคดีความต่างๆ ให้สะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

อย่างเมืองไทยของเราเมื่อไม่นานมานี้ ศาล ตำรวจ และฝ่ายเรือนจำ เพิ่งนำเอาระบบฝากขังผ่าน "วิดีโอคอนเฟอเรนซ์" มาใช้เพื่อช่วยให้ตำรวจไม่ต้องหิ้วตัวผู้ต้องหาไปขึ้นศาล

ส่วนในสหรัฐอเมริกานั้น เมื่อปีที่แล้วรัฐแคลิฟอร์เนียริเริ่มโครงการใช้เทคโนโลยีบอกพิกัดผ่านดาวเทียม (จีพีเอส) คอยติดตามตัวและสอดส่องความเคลื่อนไหวของผู้ต้องหาคดีทางเพศที่พ้นคุกออกมาว่าจะไม่กลับไปป้วนเปี้ยนในจุดอันตรายอีก เช่น โรงเรียน

รูปแบบการทำงานของระบบดังกล่าวทำโดยการติด "สายรัดข้อเท้าระบบจีพีเอส" เอาไว้กับผู้ต้องหา 24 ชั่วโมง

หลังจากนั้น ระบบจะเชื่อมต่อสัญญาณกับดาวเทียม ช่วยให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่รู้ตำแหน่งที่อยู่ของผู้ต้องหา

ล่าสุด เจ้าหน้าที่รัฐทั้งนายกเทศมนตรี ตำรวจ และหน่วยราชทัณฑ์ ในเมืองซานเบอร์นาร์ดิโน รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งจัดเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยที่มีคดีอาชญากรรมมากเป็นอันดับ 18 ในสหรัฐ ก็กำลังเริ่มทดลองโครงการนำร่องใหม่ล่าสุด

นั่นคือ ใช้สายรัดข้อเท้าจีพีเอสแบบเดียวกันผูกติดกับข้อเท้าของบรรดาสมาชิกระดับหัวโจกของขบวนการอาชญากร-แก๊งมาเฟียทั้งหลาย ซึ่งถูกจับกุมแต่ได้รับพิจารณา "ทัณฑ์บน" หรือได้รับการอนุญาตให้ประกันตัวออกไปสู้คดี

เพื่อให้แน่ใจว่าหัวหน้าแก๊งมาเฟียเหล่านี้จะไม่หลบหนีคดีออกไปนอกพื้นที่ที่ศาลมีคำสั่งห้ามเอาไว้

ถ้าผู้ต้องหาคิดจะถอดสายรัดจีพีเอสออก หรือ บังอาจฝ่าฝืนคำสั่งห้ามออกนอกพื้นที่ ระบบจะส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยังสถานีตำรวจที่อยู่ใกล้ที่สุดโดยอัตโนมัติ

แพ็ต มอร์ริส นายกเทศมนตรีซานเบอร์นาร์ดิโน บอกว่า เบื้องต้นกระแสตอบรับจากชาวบ้านเห็นด้วยกับระบบจีพีเอสติดตามตัวมาเฟีย แต่ต้องประเมินผลเรื่องความคุ้มค่าต่อไป เพราะค่าใช้จ่ายในการใช้ระบบจีพีเอสติดตามผู้ต้องหา 1 คนต่อ 1 วัน สูงเกือบ 400 บาท

Friday, March 17, 2006

พิมพ์ดีดพลังจิต

งานมหกรรมคอมพิวเตอร์ ซีบิต ในเยอรมนีแต่ละปีจะมีการนำต้นแบบเทคโนโลยีใหม่ๆ มาจัดแสดงสาธิต
สำหรับปีนี้นอกจากซีบิตจะเน้นไปที่การแสดงคอมพิวเตอร์ขนาดพกพา ก็ยังมีอีก 1 นวัตกรรมที่เรียกความสนใจจากผู้ร่วมงาน
นั่นคือต้นแบบนวัตกรรมไฮ-เทค เบอร์ลิน เบรน-คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เฟซ หรือที่มีชื่อเล่นว่า พิมพ์ดีดพลังจิต ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาโดยคณะนักวิจัยเยอรมันสังกัดสถาบัน Fraunhofer และวิทยาลัยการแพทย์ Charite
ที่มีคำว่า พลังจิต เข้ามาเกี่ยวข้องไม่ได้หมายถึงปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติ ประเภทเพ่งกระแสจิตงอช้อนโชว์
แต่เป็นการสร้างอุปกรณ์ขึ้นมาเพื่อทำให้ คลื่นสมอง ในหัวของมนุษย์เรา
สามารถบังคับ-สั่งงานให้ตัว เคอร์เซอร์ บนจอคอมพิวเตอร์ขยับไปในทิศทางที่ต้องการ ทั้งบน ล่าง ซ้าย ขวา
อุปกรณ์หลักสำหรับระบบๆ นี้ มี 2 ส่วน
ส่วนแรกก็คือ หมวก ซึ่งมีขั้วไฟฟ้า (อิเล็กโทรด) เย็บติดอยู่ด้วยจำนวนมาก โดยขั้วไฟฟ้าเหล่านี้จะถูกแปะติดกับหนังศีรษะ เพื่อให้รับคลื่นไฟฟ้าจากสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย (มอเตอร์คอร์เท็กซ์) อย่างเต็มที่
ส่วนที่สอง ได้แก่ หน่วยประมวลผลคอมพิวเตอร์ที่จะรับหน้าที่แปรค่าคลื่นสมองออกมาบังคับให้เคอร์เซอร์ขยับไปในทิศทางที่คนสั่งงานต้องการ
เกเบรียล คูริโอ นักวิจัยจาก Charite กล่าวว่า พัฒนาระบบพิมพ์ดีดพลังจิตขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือคนพิการที่ไม่มีแขนและผู้ป่วยอัมพาต เป็นหลัก แต่ก็อาจนำไปประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมเกมคอมพิวเตอร์ได้เช่นกัน
ก่อนเริ่มใช้งาน ผู้ใช้ต้องฝึกฝนให้คลื่นสมองของตนสั่งให้เคอร์เซอร์เคลื่อนที่ไปบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ครบ 150 จุดเสียก่อน เพื่อสร้าง ชุดคำสั่ง สำหรับสั่งงานต่อไป
และคาดว่าในอนาคตผู้พิการจะสามารถใช้ระบบนี้เป็นอุปกรณ์ในการสั่งให้ แขน-ขาเทียมอิเล็กทรอนิกส์ ขยับตามความต้องการ

Wednesday, March 15, 2006

รณรงค์เลือกตั้ง ผ่าน"เอสเอ็มเอส"

ในสหรัฐอเมริกา มีองค์กรอายุ 3 ปีที่ชื่อว่า "เพลงเพื่ออเมริกา" หรือ "เอ็มเอฟเอ" จัดตั้งขึ้นเพื่อรณรงค์ให้กลุ่ม "วัยรุ่น-คนหนุ่มสาว" ที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง กรีธาทัพออกมาหย่อนบัตรลงคะแนนเลือกตั้งทั้งระดับท้องถิ่น-ระดับชาติให้มากขึ้น

ยุทธศาสตร์ของเอ็มเอฟเอ ได้แก่ การนำเอาสิ่ง 2 สิ่งที่อยู่ใกล้ชิดกับ "วิถีชีวิตอเมริกันชนรุ่นใหม่" มาเป็นเป้าล่อดึงดูดให้คนกลุ่มนี้รู้สึกตื่นตัวกับการเลือกตั้ง

นั่นคือ "ดนตรี" กับกระแสคลั่ง "โทรศัพท์มือถือ"

ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เอ็มเอฟเอระดมศิลปินดนตรีมาเป็นพันธมิตร 350 คน ที่เป็นขวัญใจคนรุ่นใหม่ก็เช่นวงพั้งก์ร็อค "กรีนเดย์" และ "คริส โนโวเซลิก" อดีตมือเบสคณะเนอร์วานา

ตามแผนเบื้องต้น เอ็มเอฟเอจะเริ่มต้นโครงการรณรงค์เลือกตั้งอย่างเป็นรูปธรรมในเดือนมิถุนายนนี้

รูปแบบการทำงานคร่าวๆ แบ่งเป็นขั้นตอนง่ายๆ เริ่มจากอันดับแรก เมื่อศิลปินขึ้นเวทีเล่นคอนเสิร์ต จะชักชวนให้กลุ่มผู้ฟังกดเอสเอ็มเอสจากมือถือของตัวเองเข้าไปยังหมายเลขที่กำหนดเอาไว้เพื่อสมัครสมาชิก

ขั้นต่อมา "ระบบตอบรับ" จะบอกให้ผู้ใช้มือถือแต่ละคนส่งเอสเอ็มเอสแจ้งที่อยู่กลับไป เพื่อที่ทางองค์กรจะส่งแบบฟอร์มลงทะเบียนใช้สิทธิ์เลือกตั้งมาให้ถึงบ้าน

นอกจากนั้น เมื่อใกล้ถึงวันเลือกตั้งทุกระดับ ระบบจะส่งเอสเอ็มเอสเตือนให้สมาชิกออกไปใช้สิทธิ์ ซึ่งกลุ่มเอ็มเอฟเอตั้งเป้าว่าปีนี้จะเพิ่มยอดสมาชิกเป็น 1 แสนคน

พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่า การปลุกสำนึกเลือกตั้งผ่านเอสเอ็มเอสมือถือเป็นแนวทางที่เข้ากับยุคสมัยถ้าต้องการเข้าถึงกลุ่มเยาวชน และในบางประเทศก็เริ่มใช้วิธีนี้กันแล้ว

Monday, March 13, 2006

สุดยอดหุ่นยนต์-จากอดีตสู่อนาคต


มนุษย์คิดค้น หุ่นยนต์ ขึ้นมาเพื่อเป็นผู้ช่วยการทำงานรูปแบบต่างๆ..ย้อนกลับไป 500 กว่าปีก่อนในสมัยที่ ลีโอนาร์โด ดา วินชี่ คิดค้นหุ่นยนต์ตัวแรกจนถึงปัจจุบันหน้าตาและประสิทธิภาพของหุ่นยนต์ได้พัฒนามาไกลมากจนถึงขั้นทำหน้าที่ออกไปสำรวจดาวดวงอื่นแทนมนุษย์ นิตยสาร wired รวบรวมสุดยอดหุ่นยนต์จากอดีตสู่อนาคต

1. สแตนลีย์
สแตนลีย์ คือชื่อของรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ซึ่งพัฒนาโดยทีมนักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด โดยดัดแปลงนำเอารถโฟล์กสวาเกน Touareg ให้กลายเป็นรถยนต์หุ่นยนต์ที่สามารถวิ่งได้บนทุกสภาพพื้นผิว ทั้งยังเลือกเส้นทางวิ่งและหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้เองโดยอัตโนมัติ

2. เจ้าหนูปรมาณู
คุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับหุ่นยนต์ผู้พิทักษ์คุณธรรมในโลกจินตนาการตัวนี้ เจ้าหนูปรมาณู (Astro Boy) มีต้นกำเนิดจากปลายปากกาการ์ตูนนิสต์ญี่ปุ่นเมื่อปีพ.ศ.2494 และเป็นหนึ่งในผู้สร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์แก่เด็กญี่ปุ่นมานับตั้งแต่วันนั้นจนถึงทุกวันนี้

3. หุ่นสำรวจดาวอังคาร
หุ่นยนต์บางตัวทำหน้าที่อยู่ได้แค่บนพื้นโลก แต่สำหรับ สปิริต กับ ออพพอร์ทูนิตี้ หุ่นยนต์สำรวจดาวอังคารขององค์การอวกาศสหรัฐอเมริกา (นาซ่า) 2 ตัวนี้แตกต่างออกไป เพราะไปเก็บข้อมูลบนดาวอังคารส่งกลับมายังพื้นโลก เพื่อให้นาซ่าไขปริศนาว่าบนดาวอังคารมีสิ่งมีชีวิตหรือน้ำซ่อนอยู่หรือไม่

4. ร็อบบี้ เดอะ โรบ็อต
เจ้าหุ่นร็อบบี้ หรือ ร็อบบี้ เดอะ โรบ็อต เป็นตัวละครเอกของภาพยนตร์ไซ-ไฟอเมริกันระดับตำนานเรื่อง ฟอร์บิ้ดเด้น แพลเน็ต ที่ออกฉายในปีพ.ศ.2499 จนกระทั่งเจ้าร็อบบี้กลายเป็นต้นแบบในการออกแบบโครงสร้างหุ่นยนต์ของจริงหลายๆ รุ่น

5. เชคกี้
หุ่นยนต์รุ่น เชคกี้ พัฒนาเสร็จสมบูรณ์ในปีพ.ศ.2515 โดยสถาบันวิจัยนานาชาติสแตนฟอร์ด นับเป็นหุ่นยนต์จักรกลตัวแรกของโลกที่สามารถเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งของวัตถุที่กำหนดไว้และหมุนตัวไปรอบๆ วัตถุได้

6. คิวริโอ
หุ่นยนต์แบบแอนดรอยด์ รุ่น คิวริโอ ของบริษัทโซนี่ สามารถใช้ 2 ขาของมันเดินบนพื้นราบ เดินขึ้นลงบันได วิ่ง กระโดด และเต้นระบำรำพัดได้ โซนี่ใช้คิวริโอเป็นเหมือนกับโฆษกประจำบริษัท และตั้งเป้าว่าจะผลิตขายเชิงพานิชย์ในฐานะสินค้าเพื่อความบันเทิง

7. อัศวินจักรกล
ย้อนอดีตกลับไปไกลถึงปีพ.ศ.2038 อัจฉริยะของโลกคนหนึ่งนามว่า ลีโอนาร์โด ดา วินชี่ ทดลองประดิษฐ์สิ่งๆ หนึ่งซึ่งเชื่อว่าอาจเป็นหุ่นยนต์ตัวแรกของโลก นั่นคือ ชุกเกราะอัตโนมัติที่ใช้ข้อเหวี่ยงบังคับการลุกนั่ง โบกมือ รวมทั้งขยับเกราะตรงปากได้ด้วยตัวเอง และอีก 500 ปีต่อมา มาร์ก โรเชม วิศวกรแห่งยุคดิจิตอลก็นำชุดเกราะของดา วินชี่ มาสร้างแบบจำลองดังที่เห็นในภาพ

8. คุณหมอไฮเทค
อีกไม่นานนับจากนี้ ระบบการทำงานที่สอดประสานอย่างแม่นยำระหว่างหุ่นยนต์กับคอมพิวเตอร์ จะกลายเป็น หมอไฮเทค ที่ช่วยให้คนไข้บาดเจ็บและเสียเลือดน้อยที่สุดจากการผ่าตัด ล่าสุด โลกได้รู้จักกับระบบหุ่นยนต์ผ่าตัด ดาวินชี่ ซึ่งประกอบด้วยแขนกล กล้องวิดีโอ และเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่ทำให้ศัลยแพทย์ลงมือผ่าตัดคนไข้อย่างแม่นยำยิ่งกว่าการใช้มือตนเองลงมีด

9. นักสำรวจภูเขาไฟ
ในปี 2536 สถาบันคาร์เนกี้ เมลลอน ต้องสูญเสียคณะนักสำรวจภูเขาไฟมือดีไปถึง 8 คน เพราะเหตุภูเขาไฟระเบิดขณะการสำรวจ ส่งผลให้ปีถัดมาทางสถาบันจึงพัฒนาและส่งหุ่นยนต์ ดันเต้ ทู ไปเก็บข้อมูลในปากปล่องภูเขาไฟแทนมนุษย์

10. อัลเบิร์ต ฮูโบ
เดวิด แฮนสัน และสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นสูง ประเทศเกาหลีใต้ ร่วมกันสร้างหุ่นยนต์เดิน 2 ขาคล้ายมนุษย์รุ่น อัลเบิร์ต ฮูโบ พร้อมกับเล่นมุขจำลองใบหน้าส่วนหัวของหุ่นยนต์ ซึ่งผิวด้านนอกทำจากโพลิเมอร์ ให้เหมือนกับ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ยอดอัจฉริยะนักฟิสิกส์ ถือเป็นหุ่นอีกหนึ่งตัวที่แสดงอารมณ์ผ่านใบหน้าได้ใกล้เคียงกับคน

11. โรโบนอท
โรโบนอท คือต้นแบบหุ่นยนต์สำหรับใช้ในการปฏิบัติภารกิจในสถานีอวกาศนานาชาติ (ไอเอสเอส) อยู่ในระหว่างการพัฒนาโดยองค์การอวกาศสหรัฐ หรือ นาซ่า คาดว่ามันจะเป็นลูกมือสำคัญของมนุษย์อวกาศบนไอเอสเอสในอนาคต

แรงงานหุ่นยนต์

หุ่นยนต์ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้เป็น “แรงงาน” ช่วยเหลือเกษตรกรมีการสร้างขึ้นมาเป็นระยะๆ

ล่าสุด คณะวิศวกรมหาวิทยาลัยวอร์วิก กำลังประดิษฐ์หุ่นยนต์รุ่นใหม่ ซึ่งช่วยลดต้นทุนในการเก็บเกี่ยวผลผลิตของเกษตรกร

นั่นคือ “หุ่นยนต์เก็บคัดแยกเห็ด” (Robotic Mushroom Picker)

หุ่นยนต์ตัวนี้ไม่ได้ทำงานโดยลำพัง เพราะยังมีระบบกลไกอีก 2 ชนิดมาช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงาน ได้แก่ สายพานลำเลียงผลผลิต และหุ่นยนต์ตัวหญ้าและวัชพืช

ทีมงานม.วอร์วิก ตั้งความหวังไว้สูงถึงขนาดที่คาดว่าหุ่นยนต์เหล่านี้จะปฏิวัติรูปแบบการทำสวนทำไร่ภายใน 10 ปีนับจากนี้เลยทีเดียว

ในส่วนของของหุ่นยนต์เก็บเห็ด จะถูกติดตั้งกล้องวิดีโอเอาไว้ในตัวเครื่อง

เมื่อส่องเห็นเห็ดที่มีลักษณะและขนาดพร้อมที่จะเก็บ ก็จะใช้ “มือกล” ดึงเก็บเห็ดขึ้นมา ส่งต่อไปยังสายพานเพื่อใส่ลงไปในถังรองรับ

อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนการทดลองพบว่า ความเร็วในการเก็บคัดเลือกเห็ดของหุ่นยนต์ ถือว่า “ช้า” กว่าแรงงานคนมากกว่าหลายเท่า

แต่ข้อดีของหุ่นยนต์ คือ ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่มีการบ่นว่าเหนื่อย หรือ เรียกร้องขอโอทีเพิ่ม

ส่วนหุ่นยนต์ตัดหญ้า-วัชพืช มีหน้าตาเหมือนเครื่องตัดหญ้า และทำงานในลักษณะเดียวกับหุ่นเก็บเห็ด โดยตัวหุ่นติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงานแบบไร้สาย สั่งให้มันตัดเฉพาะวัชพืชปกคลุมผิวดิน

ทีมงานม.วอร์วิกมีความหวังดีอยากสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมาช่วยยกระดับการทำงานของชาวสวน

แต่ปัญหาที่ต้องคิดกันต่อไปก็คือ หุ่นพวกนี้จะทำให้แรงงานภาคเกษตรต้องตกงานเพิ่มมากขึ้นหรือไม่?

Wednesday, March 08, 2006

ตะลุย"แอนตาร์กติกา"

ในแต่ละปี มีนักวิทยาศาสตร์หลายพันคน จากหลายสิบประเทศ แยกย้ายกันทำงานวิจัยในทวีป "แอนตาร์กติกา"

ถ้าหาแผนที่โลกของเรามาดูจะเห็นดินแดนแอนตาร์กติกา ปกคลุมรายล้อมอยู่รอบๆ "ขั้วโลกใต้" กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล

แต่ด้วยความที่มีสภาพอากาศเย็นจัดที่สุดในโลก (ติดลบเกือบ 100 องศา) บวกกับภูมิประเทศร้อยละ 98 เป็นน้ำแข็งล้วนๆ ส่งผลให้ยังไม่มีมนุษย์กลุ่มไหนหาญกล้าไปปักหลักตั้งถิ่นฐานอย่างถาวร

ปัจจุบันนี้คนก็เลยต้องยอมปล่อยให้เพนกวิน แมวน้ำ สาหร่าย และสารพัดจุลชีพ ปกครองแอนตาร์กติกกันไปพลางๆ ก่อน

ลักษณะงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในดินแดนน้ำแข็งแห่งนี้ มีหลายแบบ เช่น งานเชิงชีว-ธรณีวิทยา สมุทรศาสตร์ ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ ซากอุกกาบาตจากนอกโลก รวมถึงการศึกษาธารน้ำแข็ง (กลาเซียร์) ที่กำลังละลายอย่างผิดปกติ และวิกฤตรูโหว่ในชั้นโอโซนเหนือทวีป ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะการสะสมของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศและปรากฏการณ์โลกร้อน

ดังนั้น "พาหนะ" ที่นักวิทยาศาสตร์ต้องใช้ในการ "ขน" อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์และเครื่องไม้เครื่องมือไม่รู้กี่ร้อยชนิด จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งและต้องมีประสิทธิภาพดี

นี่คือที่มาทำให้ คณะนักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยดาร์ธมุธ ช่วยกันระดมสมองประดิษฐ์ "หุ่นยนต์" พลังแสงอาทิตย์รุ่นใหม่ขึ้นมาตอบสนองความต้องการของทีมวิจัยแอนตาร์กติกาโดยเฉพาะ

หุ่นรุ่นนี้ก็คือ "คูล โรบอต" หน้าตาเหมือนกล่องติดล้อ ทำหน้าที่เป็นรถลากสัมภาระและรถสำรวจรอยแยกใต้พื้นน้ำแข็ง

นอกจากนั้น ในตัวหุ่นยนต์ยังมีอุปกรณ์หลักๆ ที่อัดแน่นอยู่ใน "คูล โรบอต" เช่น เครื่องตรวจสนามแม่เหล็ก ตรวจแผ่นดินไหว ตรวจชั้นบรรยากาศไอโอโนสเฟียร์ เรดาร์ตรวจสภาพใต้พื้นผิว

ล่าสุด องค์การอวกาศสหรัฐ (นาซ่า) แสดงความสนใจ "คูล โรบอต" พอสมควร ถ้ามันทำหน้าที่ได้ดีในแอนตาร์กติกา ก็อาจได้รับการคัดเลือกให้ขึ้นไปทำงานสำรวจบนดาวอังคารต่อไป

Monday, March 06, 2006

"กล้องวงจรปิด-เสื้อ" แปลงแสงอาทิตย์สู่ไฟฟ้า


เรื่องของ "พลังงานแสงอาทิตย์" นั้นพูดกันมามากเหลือเกิน

แต่ดูแนวโน้มแล้วยังไปไม่ถึงไหน บางทีอาจต้องรอจนกว่าผู้กุมอำนาจน้ำมันทั้งหลายเริ่มเข้ามาทำมาหากินกับ "ดวงอาทิตย์" แทนการขุดพื้นโลกกันให้มากขึ้น (เพราะน้ำมันจะหมดโลก) พลังงานหมุนเวียนประเภทนี้ถึงจะได้รับความนิยมและราคาเริ่มถูกกดให้ต่ำลงบ้าง

วันนี้มีแง่มุมเล็กๆ เกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้แผงแปลงแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้า หรือ แผงโซลาร์เซลล์ 2 ชิ้น มาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง

ชิ้นแรกเรียกว่า "กล้องวงจรปิดพลังแสงอาทิตย์" ซึ่งติดตั้งอยู่บนยอดเสาไฟฟ้าในนครบัลติมอร์ สหรัฐอเมริกา

ต้นตอการประดิษฐ์อุปกรณ์ดังกล่าวสืบเนื่องจากการที่ตลอด 3-4 เดือนที่ผ่านมา มีแก๊งหัวขโมยออกตระเวนขโมยตัด-ชำแหละชิ้นส่วน "อะลูมิเนียม" ของเสาไฟฟ้า 130 กว่าต้นไปขาย

ทางการบัลติมอร์จึงลงทุนนำกล้องวงจรปิดพลังแสงอาทิตย์มูลค่า 2 แสนกว่าบาทไปติดบนยอดเสาไฟที่เหลือ

โดยภายในอุปกรณ์ชนิดนี้จะมีระบบตรวจจับภาพและแรงสั่นสะเทือน เมื่อเสาเกิดสั่นไหวเพราะแรงตัดหรือแรงเลื่อยก็จะส่งสัญญาณร้องเตือนหัวขโมยว่าให้หยุดพฤติกรรมโฉดเดี๋ยวนี้ เพราะหน้าตาของพวกคุณถูกบันทึกภาพไว้หมดแล้ว

ชาวเมืองบางส่วนบอกว่าเป็นแนวคิดที่ดี...แต่บางคนก็แซวว่าคราวนี้เห็นทีโจรจะมีของชิ้นใหม่ให้ขโมยจากเสาไฟเพิ่มอีกชิ้น

ส่วนชิ้นที่สอง เป็นเสื้อแจ๊กเก๊ตยี่ห้อ "Scottevest" ของสหรัฐ

แผงโซลาร์เซลล์จะเย็บติดอยู่กับด้านหลังของตัวเสื้อ ระยะเวลาชาร์จไฟจนเต็ม ถ้าอยู่ในที่มีแดดแรงๆ ประมาณ 2-3 ชั่วโมง

ประโยชน์ของเสื้อตัวนี้ก็คือ ใช้เป็นที่ชาร์จไฟสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กที่ผู้คนนิยมใช้กัน เช่น เครื่องเอ็มพี-3 โทรศัพท์มือถือ และเครื่องเล่นดิจิตอลที่มีช่องยูเอสบีพอร์ต

ดูแล้วเป็นแนวคิดที่ดี เสียอย่างเดียวว่าราคายังแพงอยู่มาก ตก 20,000 กว่าบาทต่อ 1 ตัว แต่สำหรับคนที่พอจะมีสตางค์อยู่บ้างถ้าซื้อมาใช้อาจถือว่าคุ้ม เพราะเป็นการลงทุนระยะยาว ถ้าเสื้อไม่ถูกฉกไปเสียก่อนเวลาตาก

Sunday, March 05, 2006

คอมพ์ราคาถูก อุปสรรคที่ท้าทาย


ปัจจุบัน ประเมินกันคร่าวๆ ว่า มีประชากรโลก 1,000 ล้านคน จากจำนวนทั้งหมด 6,000 กว่าล้านคน เคยหรือกำลังใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต

กลุ่มผู้ผลิต/ผู้พัฒนาคอมพิวเตอร์ จึงตั้งความหวังว่าโอกาสที่จะส่ง "คอมพิวเตอร์ราคาถูก" เข้าสู่ตลาดเพื่อช่วยให้ประชากรโลกอีกหลายพันล้านคนที่เหลือได้เข้ามาใช้ประโยชน์จากอินเตอร์เน็ตน่าจะมีสูง

ถ้าจะให้ยกข้อดีของการที่คนระดับรากหญ้า รวมถึงผู้มีรายได้น้อย สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตก็คงมีมากมายหลายประการ

อาทิ ถ้านำคอมพิวเตอร์สักเครื่องไปตั้งในหมู่บ้านห่างไกล ก็จะช่วยให้เด็กๆ ในชุมชนใช้อินเตอร์เน็ตศึกษาหาความรู้ได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ขณะที่ผู้ใหญ่ก็ใช้มันเป็นสื่อกลางในการวางแผนค้าขายสินค้าเกษตร

แต่ใน "ชีวิตจริง" ต้องยอมรับว่าสิ่งที่คิดข้างต้นอาจเป็นเพียง "ความฝัน" ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะประสบความสำเร็จ

ทุกวันนี้ ภาคเอกชนกับฝ่ายรัฐของหลายประเทศจับมือกับเข็นโครงการคอมพิวเตอร์ราคาถูกออกมาพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน

เช่น คอมพิวเตอร์ 4,000 บาท (คอมพิวเตอร์ 100 เหรียญ) ของ "นิโคลัส นีโกรปอนเต" จากสถาบันเอ็มไอที ซึ่งเคยมีข่าวว่ารัฐบาลไทยจะเซ็นสัญญาซื้อ แต่ขณะนี้เรื่องเงียบไปแล้ว

พร้อมกันนั้นก็เริ่มมีเสียงเตือนจากคนในวงการคอมพิวเตอร์ว่า "คอมพ์ 100 เหรียญ" อาจทำให้รัฐบาลหลายประเทศเสียเงินโดยใช่เหตุ

เพราะ "สเปค" คุณสมบัติพื้นฐานของเครื่องต่ำไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเร็วหน่วยประมวลผล (500 MHz) การที่มันไม่มีฮาร์ดดิสก์ และจอเล็กเกินไป

ขณะเดียวกัน ฝ่ายสนับสนุนมองว่า ถึงคุณภาพเครื่องจะต่ำ แต่การเปิดโอกาสให้เด็กๆ ที่ฐานะครอบครัวไม่ดีได้เรียนรู้การใช้คอมพิวเตอร์พื้นฐานเอาไว้บ้างคงไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร

และบางทีอาจเป็น "แรงบันดาลใจ" ให้เด็กๆ กลุ่มนี้เติบโตขึ้นมาเป็นโปรแกรมเมอร์-นักประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ฝีมือดีของประเทศก็ได้

Thursday, March 02, 2006

สหรัฐเปิดตัวระบบใหม่ จับแผ่นดินไหวใต้ทะเล

โศกนาฎกรรมคลื่นยักษ์ "สึนามิ" ในมหาสมุทรอินเดีย เป็นบทเรียนจากธรรมชาติครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ว่า

มนุษย์ไม่ควรมีชีวิตอยู่บนความประมาท

สิ่งที่คิดว่าไม่มีทางจะเกิดขึ้น หรือ มีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดขึ้น ย่อมสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ถ้ามนุษย์ไม่ใช้สติปัญหาคิดวิธีรับมือไว้แต่เนิ่นๆ ก็จะต้องพบกับความสูญเสียอย่างร้ายแรง ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

ภายหลังจากทวีปเอเชียเผชิญกับสึนามิครั้งใหญ่ ประเทศที่มีชายฝั่งติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งมีความเสี่ยงเผชิญกับเหตุแผ่นดินไหวใต้สมุทรและคลื่นสึนามิอย่าง "สหรัฐอเมริกา" ก็เร่งคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ มาเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจจับแรงสั่นสะเทือนใต้ท้องทะเลหลากหลายรูปแบบ

ล่าสุด สถาบันสมุทรศาสตร์วู้ดส์โฮล (WHOI) กำลังพัฒนาและทดสอบการทำงานของเครื่องมือตรวจจับแผ่นดินไหวใต้ทะเล หรือ "OBSs" ชนิดใหม่ และจะนำไปกระจายติดตั้งบริเวณตอนกลางของพื้นมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งมักเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง

หน้าตาของเครื่องมือ "OBSs" ใหม่ดังกล่าว แยกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ด้วยกัน

ส่วนแรก คือ ชุดกล่องไฟเบอร์กลาส 4 ตัวที่เห็นทางฝั่งซ้ายมือของภาพ ภายในบรรจุแบตเตอรี่และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ควบคุมระบบการทำงานของเครื่อง

ส่วนที่สองตั้งอยู่ทางขวามือของภาพ เป็นเครื่องตรวจวัดการแปรผันของระดับแรงดันของคลื่น ซึ่งเกิดจากแผ่นดินไหว โดยชุดอุปกรณ์กลุ่มนี้จะบรรจุอยู่ในกล่องเหล็กรูปร่างคล้ายกับยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว (ยูเอฟโอ) ที่เราเห็นกันในภาพยนตร์

ในช่วงเวลาก่อน หรือ เกิดเหตุแผ่นดินไหวไปแล้ว ไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่ ระบบ "OBSs" ใหม่นี้จะส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมกลับไปให้ศูนย์ควบคุมรับทราบ เพื่อประกาศเตือนภัยต่อไปในกรณีที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดสึนามิซัดเข้าชายฝั่ง

แผนการขั้นต้น ทีมงานสถาบัน WHOI จะติดตั้ง "OBSs" รุ่นนี้ทั้งหมด 40 ตัว พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่ามันจะทำงานอย่างเที่ยงตรงเนื่องจากติดตั้งอยู่ในบริเวณจุดศูนย์กลางและพื้นที่ใกล้เคียงศูนย์กลางแผ่นดินไหวครับ

ผู้ดีทดลองใช้"อัลตร้า" แท็กซี่อัตโนมัติของคนเมือง


ระบบขนส่งมวลชน นั้นเป็นหัวใจหลักของเมืองใหญ่ หรือ มหานครทั่วโลก

ตามปกติ ในมหานครของประเทศต่างๆ ต้องมีรถไฟทั้งใต้ดิน-บนดิน ไว้ให้บริการประชาชน

แต่ต้นทุนในการวางโครงข่ายรางรถไฟก็ไม่ใช่เรื่องถูกๆ และใช้ระยะเวลาก่อสร้างนานหลายปี

ล่าสุด ในเมืองคาร์ดิฟ หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของอังกฤษ กำลังมีการทดสอบระบบขนส่งมวลชนแบบใหม่

นั่นคือ ระบบแท็กซี่อัตโนมัติ รุ่น "อัลตร้า"

ออกแบบขึ้นมาเพื่อให้บริการขนส่งประชากรจากจุดแออัด เช่น สนามบิน ท่ารถโดยสาร กระจายตัวออกไปยังรัศมี 1-3 กิโลเมตรรอบนอก

รูปแบบของระบบอัลตร้าไม่สลับซับซ้อน ประกอบด้วยส่วนที่เป็น "ตัวราง" กับ "ตัวรถ" 1 คันโดยสารได้ 4 คน

ผู้ใช้บริการสามารถซื้อบัตร "สมาร์ทการ์ด" ในราคาตามจุดหมายปลายทางที่ต้องการไป จากนั้นก็ไปเข้าคิวยืนรอรถที่ป้าย

เมื่อรถมาถึง เพียงแค่เดินเข้าไปนั่งในรถแล้วเสียบบัตรเข้าไปในช่องรับบัตร

อัลตร้าจะวิ่งไปจอดยังป้ายที่กำหนดไว้โดยอัตโนมัติ

บริษัทอัลตร้า แอดวานซ์ ทรานส์ปอร์ต ซิสเต็ม ผู้ผลิตระบบรถอัลตร้า ระบุว่า

รถรุ่นนี้เป็นรถไฟฟ้า จึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สนนราคาค่าบัตรสมาร์ทการ์ด ตั้งไว้ว่าน่าจะอยู่ในระดับเดียวกับรถโดยสารสาธารณะ หรือ สูงกว่าเล็กน้อย

ถ้าโครงการแท็กซี่อัลตร้าดำเนินไปด้วยดี อาจขยายการให้บริการออกไปยังเมืองอื่นๆ ในอังกฤษและยุโรปต่อไป